ท้าวความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว จากอียิปต์สู่จอร์แดนดินแดนในพระคัมภีร์ ตอนที่1 หลังจากที่เราเดินทางออกจากบริเวณศูนย์กลางของประเทศอียิปต์ซึ่งเป็นเขตไคโรเก่า(Old Cairo) ที่นั้นเป็นสถานที่ตั้งของ “โบสถ์เซ้นท์เซอร์เจียส” ซึ่งเป็นสถานที่หลบภัยของครอบครัวพระเยซูคริสต์เมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงเป็นทารก จากนั้นนำท่านลัดเลาะมาเรื่อยๆตามเส้นทางสู่เมืองเซนต์แคทเธอรีน (Saint Catherine) ในเขตเซาท์ซีนาย(South Sinai) หรือ จะนุบซินะ (Janub Sina’) เมืองเก่าแก่บนแหลมซีนายซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศอียิปต์ เมืองเซนต์แคทเธอรีนแห่งนี้ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีความสำคัญและมีชื่อเสียงทางการท่องเที่ยวไม่น้อยไปกว่าไคโร หรืออเล็กซานเดรียเลย โดยในแต่ละปีสามารถดึงดูดให้นักท่องจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์ และชื่นชมธรรมชาติ และในเมืองแห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งสำคัญของภูเขาซีนาย ซึ่งบน “ยอดเขาซีนาย”นั้นในอดีตก่อนคริสต์กาลตามในพระคีมภีร์ได้เขียนไว้ว่าเป็นที่ที่โมเสสได้รับบัญญัติ 10ประการจากพระเจ้า และบริเวณเชิงเขาซีนายก็เป็นสถานที่ตั้งของ “โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน” ซึ่งเป็นวัดในนิกายกรีกออร์โธดอกซ์ ในอดีตเมื่อ ค.ศ.527 บรรดาเหล่านักบุญได้ใช้เป็นที่หลบภัยจากการไล่ล่าสังหารของโรมัน และอีกสถานที่หนึ่งที่จะลืมกล่าวถึงไปไม่ได้เลยนั้นก็คือ “หาดนูไวย์บา” บริเวรที่โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลข้ามทะเลแดงไปยังแผ่นดินแห่งคำสัญญา(ซึ่งถูกเขียนไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล) เมื่อข้ามทะเลแดงมาก็สู่ประเทศอิสราเอล จากนั้นเราพาท่านเดินทางไปยัง “ป้อมมาซาดา” ที่ตั้งอยู่บนยอดเขามาซาดาป้อมปราการโบราณกลางทะเลทรายยูเดีย(ในเขตภาคใต้ของประเทศอิสราเอล) และสุดท้ายเรามาจบกันที่ “ทะเลเดดซี” ทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเข้มข้นของเกลือสูงจนทำให้มนุษย์สามารถลอยตัวอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ได้โดยที่ไม่จม
จากอียิปต์สู่จอร์แดนดินแดนในพระคัมภีร์ ตอนที่2
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประเทศอิสราเอล แต่ก่อนที่จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจให้ทราบ ก็ขอเล่าเรื่องราวคราวๆเกี่ยวกับประเทศนี้ให้ทราบกันก่อนนะคะ….เมื่อจะกล่าวถึงประเทศอิราเอล(Israel) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของ 3 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาย และศาสนาอิสลามความแตกต่างด้านศาสนา และวัฒนธรรม ทำให้ดินแดนแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์(Holy Land) ชาวอิสราเอล ร้อยละ 82 นับถือศาสนายูดาย (Judaism) ที่เหลือนับถือศาสนาอิสลาม (14 %) คริสต์ (2%)
อิสราเอลมีวัฒนธรรมทั้งเก่า และใหม่ผสมผสานกัน กล่าวคือ วัฒนธรรมโบราณของยิวที่เก่าแก่กว่า 4000 ปี และวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดจากการหลั่งไหลของชาวยิวจากทั่วโลกที่กลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานในอิสราเอลภายหลังการก่อตั้งรัฐอิสราเอลเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2491 ชาวอิสราเอลร้อยละ 90 อาศัยอยู่ในเขตเมืองที่ทันสมัย แต่ก็มีบางส่วนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเก่า หลังจากที่เราพอจะทราบรายละเอียดคราวๆของประเทศนื้แล้วก็จะขอนำท่านเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กันเลยนะคะ
ถ้ำคุมราน (Qumran Caves) จากอียิปต์สู่จอร์แดนดินแดนในพระคัมภีร์ ตอนที่2
เป็นถ้ำโบราณเก่าแก่ที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อต้นปี พ.ศ. 2490 โดย มูฮัมมัด เอดห์-ดิบ เด็กเลี้ยงแกะชาวเบดูอิน ได้ต้อนฝูงแกะไปหาแหล่งน้ำในทะเลทรายยูเดีย ใกล้กับเมืองคุมรานและติดตามแกะที่หายไปจนพบถ้ำ เมื่อไปสำรวจในถ้ำจึงได้พบม้วนหนังสือแห่งเดดซี (Dead Sea Scrolls)ห่อด้วยผ้าลินิน ม้วนหนังสือเดดซีเป็นหนังสือม้วนที่พบในถ้ำ 11 แห่ง ระหว่าง พ.ศ. 2490 – 2499 ในเมืองคุมรานทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลเดดซี มีเอกสาร 800 รายการ ส่วนใหญ่เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับศาสนายูดาห์ที่ไม่เคยพบมาก่อน เขียนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 6 โดยพวกเอสซีนซึ่งอยู่ร่วมสมัยกับพระเยซู
เมืองนาซาเร็ธ(Nazareth)
เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เมืองนี้เป็นสถานที่ที่พระเจ้าทรงกำหนดเพื่อประกาศสานส์แห่งการบังเกิดขององค์พระบุตร และยังเป็นสถานที่ที่พระเยซูเติบโต ที่นี่พระเยซูเจ้าทรงเจริญวัยโดยวิ่งเล่นตามถนน ตามภูเขา และได้ศึกษาเล่าเรียน ฯลฯ ไม่แตกต่างจากเด็กชาวนาซาเร็ธคนอื่น ๆ(แต่อะไรหละที่ทำให้พระองค์ทรงแตกต่าง) พระองค์ทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายตลอดเวลา 30 ปี ทำงานเป็นช่างไม้เหมือนกับโยเซฟ ถนนของเมืองนาซาเร็ธเป็นถนนแคบๆเหมือนกับในปัจจุบัน และที่เมืองแห่งนี้มีหมู่บ้านจำลองนาซาเล็ธ(Nazareth Village) ได้จำลองวิถีชีวิตของชาวนาซาเร็ธในสมัยพระเยซูคริสต์เอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสถึงกลิ่นอายของอดีต
เมืองนาซาเร็ธ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ประมาณ 320 เมตร ถึง 490 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ของบริเวณนั้นๆ) นาซาเรธตั้งอยู่ระหว่างภูเขาที่รวมตัวกันเป็นจุดใต้สุดของเทือกเขาเลบานอน จากนาซาเรธถึงทะเลสาบกาลิลีมีระยะทางด้วยกันทั้งหมด 25 กิโลเมตร และจากนาซาเรธถึงภูเขาทาบอร์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของนาซาเรธ มีระยะทาง 9 กิโลเมตรด้วยกัน
เมืองทิเบเรียส (Tiberia)
อยู่ในแคว้นคาลิลีเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองที่อยู่รอบๆทะเลสาบคาลิลี เมืองทิเบเรียส เป็นเมืองท่องเที่ยวทางตอนเหนือที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของริมทะเลสาบกาลิลี เมืองแห่งนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริย์เฮโรดแอนทิพัส(โอรสของกษัตริย์เฮโรดมหาราช) โดยตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแด่จักรพรรดิทิเบเรียสซีซาร์ แห่งจักรวรรดิโรม(สมัยพระเยซูเจ้า) และเป็นผู้ตั้งให้ ปอนติอุส ปิลาต เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย และปิลาตผู้นี้เองที่ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้า ปัจจุบันเมืองทิเบเรียสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่างอากาศที่สำคัญของอิสราเอล ทะเลสาบกาลิลี หรือทะเลสาบทิเบเรียส (The Sea of Galilee or Lake Tiberias) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์อาศัยอยู่อย่างอุดมสมบรูณ์มีความยาว 20.8 กิโลเมตร กว้าง 11.2 กิโลเมตร อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 686 ฟุต และเมื่อปีคศ. 2009 ทะเลสาบกาลิลีแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย นอกจากนี้ทะเลสาบแห่งนี้ยังมีชื่อเรียกอื่นๆอีกมากมายชื่อเช่น ทะเลสาบทิเบเรียส ทะเลสาบเยนเนซาเรธ ทะเลสาบ Kinneret ซึ่งมาจากภาษาฮีบรูแปลว่า “พิณ” ในสมัยพระเยซูทะเลสาบกาลิลีแห่งนี้เป็นสถานที่สำคัญที่พระเยซูทรงเลือกอัครสาวก4คนแรก และเทศนาสั่งสอน รักษาโรค ฯลฯให้กับประชาชนรอบๆทะเลสาบกาลิลี
ภูเขาบีทติจูดส์ (The Mount of Beatitudes)
เป็นที่ตั้งของโบสถ์แปดเหลี่ยมสถานที่ซึ่งพระเยซูเริ่มต้นเทศนาสั่งสอนสาวก หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ คำเทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount) โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาบีทติจูนส์ ด้านหน้าเป็นทะเลสาบกาลิลี ชื่อภูเขาบีทติจูดส์มาจากคำว่า “Blessed”
เมืองคาเปอนาอูม (Capernaum)
ชื่อเต็มคือ ฮิบบรู คาเปอรนาฮูม หมายถึง หมู่บ้านนาฮูมเป็นคำเดียวกับภาษากรีก เมืองนี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์เดิม แต่เป็นเมืองที่กล่าวถึงและมีความสำคัญในสมัยพระเยซูคริสต์ เป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อชาวโรมันด้วยเนื่องจากเป็นเมืองด่านสำหรับเก็บภาษี เมืองนี้เราได้ชมบ้านเปโตรและที่ซึ่งพระเยซูคริสต์รักษาไข้ให้แม่ยายของเปโตร แต่ปัจจุบันถูกสร้างเป็นโบสถ์บนบ้านหลังเดิม โดยบริเวณใกล้ๆกันนั้นมีธรรมศาลาเก่าแก่ที่พระเยซูสั่งสอนและรักษาโรคแก่ประชาชน ณ ริมชายทะเลทิเบเลียส (Lake Tiberias) แห่งนี้ที่ซึ่งพระเยซูปรากฏแก่สาวกหลังฟื้นจากความตาย และทำการอัศจรรย์ช่วยสาวกจับปลาได้ 153 ตัว และทรงเรียกเปโตรให้ เลี้ยงลูกแกะของพระองค์ปัจจุบันมีโบสถ์ St Perter’s Primacy สร้างครอบเนินดินที่เชื่อว่าเป็นที่ที่พระเยซูปิ้งปลาคอยสาวกอยู่ และเดินทางจากโบสถ์เซนปีเตอร์ไปอีกประมาณ 35นาทีก็จะถึงริมแม่น้ำจอร์แดนสถานที่ซึ่ง เป็นสถานที่ทำพิธีบัพติศมาในน้ำ (Yardenit Jordan River) ซึ่งยอห์นเป็นผู้ให้องค์พระเยซูรับบัพติสมาที่ริมแม่น้ำแห่งนี้
ภูเขาคารเมล (Mt.Carmel) Kar’mel ชื่อนี้แปลว่า “สวน” (garden) เป็นเทือกเขาที่ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ใกล้กับไฮฟา เมืองท่าในปัจจุบันนี้) ภูเขาคารเมลมีความสูงราว 1740 ฟุตจากระดับน้ำทะเล สถานที่ที่ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ได้พนันขันต่อกับพระบาอัล 250 คน เพื่อสําแดงแก่ชาวอิสราเอลในเวลานั้นซึ่งพระเจ้าให้รู้ว่าพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ไม่ใช่พระบาอัล
เมืองโบราณเซซาเรีย(Caesarea) เมืองโรมันโบราณยุคเก่าสมัยสงครามครูเสดสร้างอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สร้างโดยกษัตริย์เฮโรด มหาราช เซซาเรียเป็นสถานที่สวยเขียวชะอุ่มที่สุดของปาเลสไตน์ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไหล่เขาเฮอร์โมน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1150 ฟุต มีสายธาร นาห์ร บานียัส ไหลมาจากถ้ำหน้าผา ที่เป็นแหล่งน้ำสายหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ที่แห่งนี้เราจะได้เห็น คลองส่งน้ำ (Aqua-duct) โรมันโบราณ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการชลประทานที่ชาญฉลาดของมนุษย์โดยการนำน้ำจืดจากภูเขามาหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนริมทะเล
กรุงเยรูซาเล็ม (Jerusalem)
เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1949 ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอิสราเอล เยรูซาเลมเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งเกี่ยวพันกับ 3 ศาสนา คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม คริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่าพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศ และการมาครั้งที่สองของพระองค์ก็จะเกิดที่เมืองนี้เช่นกัน ส่วนชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นเมืองที่นบีมุฮัมมัดถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์
สวนเกทเสมนี (Gatsemane) ในภาษาอาราเมอิค, คำว่า เกทเสมนี หมายถึง “เครื่องคั้นมะกอกเทศ.” สวนเกทเสมนีอยู่ที่ตีนเขามะกอกเทศ อยู่เหนือหุบเขาขีดโรนขึ้นมาทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เขียนเอาไว้ว่า พระเยซูเสด็จไปยังสวนนี้ในคืนที่ยูดาส(สาวก)ทรยศพระองค์. ที่นั่นพระองค์ทรงคุกเข่าสวดอ้อนวอนทูลขอพระบิดา(พระเจ้า) พระองค์ทรงทนทุกข์กรแสงจนน้ำตาไหลกลายเป็นเลือดในเกทเสมนีเพื่อบาปของมนุษยชาติที่พระเยซูอธิษฐานกับสาวกที่นี้ก่อนที่จะถูกทหารโรมันจับตัวไปตรึงที่กางเขน ในสวนนี้ปัจจุบันยังมีต้นมะกอกเทศเก่าแก่ 8 ต้น ที่เชื่อกันว่ารากเดิมเป็นต้นมะกอกเทศในสมัยพระเยซู โดยผู้เชี่ยวชาญทางพฤกษศาสตร์ คำนวณอายุของต้นมะกอกเทศได้ไม่ต่ำกว่า 2000 ปี(ซึ่งเป็นต้นมะกอกเทศที่มีอายุอยู่ในสมัยพระเยซูเจ้าเยซูคริสต์เจ้า) ปัจจุบันมีโบสถ์นานาชาติ (Church Of All Nations) ตั้งอยู่ภายในมีก้อนหินขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นจุดที่พระเยซูทรงคุกเข่าอธิษฐาน ก่อนถูกทหารโรมันจับตัว หากท่านใดที่เคยดูหนังเรื่องเดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์ (The Passion of The Christ) คงพอจะจำฉากนี้ได้ถึงรวมทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า และเหตุการณ์หลังจากนี้เมื่อพระเยซูถูกจับไปแล้วและถูกทรมานโดยการเฆี่ยนตี พระองค์ทรงโดนคนที่พระองค์ทรงรักปฏิเสทถึง 3ครั้ง ฯลฯ
ภูเขาซีโยน ภูเขาพระวิหาร ( Temple Mount ) หรือยอดเขาโมริยาห์ ที่อับราฮัมถวายอิสอัคและเป็นที่ที่กษัตริย์ ดาวิดได้ซื้อลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุสเพื่อสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า ต่อมากษัตริย์โซโลมอนได้สร้างพระวิหารหลังแรกบนยอดเขาโมริยาห์ แต่ต่อในปีค.ศ 70 ก็ถูกทหารโรมันทำลายพระวิหารทั้งสิ้นตามการพยากรณ์ของพระเยซูคริสต์ ในปีค.ศ 624 สุลต่านคาลิบ โอมาร์ค ครอบครองเยรูซาเล็ม และได้สร้างสุเหร่าทองคำ (Dome of the Rock) บนภูเขาพระวิหารซึ่งปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน
กำแพงร้องไห้ (Wailling Wall) เป็นส่วนกำแพงด้านตะวันตกของพระวิหารหลังที่สองที่เหลืออยู่หลังจากถูกโรมันทำลาย ปัจจุบันชาวยิวทั่วโลกถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและโดยเฉพาะวันสำคัญทางศาสนาจะมีชาวยิวมากมายเดินทางมาอธิษฐานร้องไห้คร่ำครวญกับพระเจ้าอย่างเนืองแน่น เพราะเป็นจุดที่อยู่ใกล้พระวิหารเดิมที่สุด เริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. ในปีที่ 37 ก่อน ค.ศ. เฮรอดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ได้ปรับปรุงกรุงเยรูซาเล็มให้สวยงาม และสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตกว่าและสวยงามกว่าพระวิหารของกษัตริ์โซโลมอล เพื่อเป็นการเอาใจชาวยิว นี่คือพระวิหารที่พระเยซูเจ้ารู้จัก ปี คศ. 70 กรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารถูกจักรรดิตีตัสทำลายหมดสิ้น คงเหลือไว้แต่กำแพงล้อมรอบวิหารที่สร้างด้วยก้อนหินขนาดใหญ่มาก เราจึงได้เห็นก้อนหินที่มีอายุสองพันกว่าปีที่นี่ ซึ่งขนาดหินก้อนใหญ่ที่สุดที่นำมาทำกำแพงนั้นยาว 30.6 เมตร สูง 3.5 เมตร หนา 4 เมตร และหนัก 628 ตัน เลยทีเดียวและยังมีก้อนมหึมาอีกมากมายที่ขุดพบข้างใต้กำแพงที่มองเห็นลงไปอีก
หลังสงครามปลดปล่อยอิสราเอล ชาวยิวประกาศตั้งรัฐอิสราเอล ในปี ค.ศ. 1948 โดยมีเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวง แต่ส่วนที่เป็นเมืองเก่าอยู่ในส่วนยึดครองของประเทศจอร์แดน ชาวยิวถูกห้ามไม่ให้เข้ามาที่กำแพงตะวันตก จนกระทั้งอิสราเอลชนะสงคราม 6 วัน กับประเทศอาหรับ และได้ปกครองเยรูซาเล็มทั้งหมด ชาวยิวจึงเข้ามาที่กำแพงตะวันตกเพื่อนมัสการและสวดภาวนาได้ตามปกติ ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วนับพันๆปีภาพที่คุ้นตาเมื่อไปที่นั้นคือ เราจะเห็นบรรดาชาวยิวทั้งชาย หญิงผู้เคร่งศาสนาไปยืนสวดมนต์ ขอพร ยืนร้องไห้ หรือแม้กระทั้งเสียบกระดาษที่บรรจุคำขอพรสอดเอาไว้ตามซอกก้อนหินมหึมาเหล่านั้น กำแพงร้องไห้แห่งนี้ยังเคยตอนผู้นำประเทศ และผู้นำศาสนามากมายหลายคนมาแล้วอาทิเช่น องค์พระสันตะปาปา องค์ดาไลลามะ ท่านประธานาธิบดีบารัค โอบามา และอื่นๆอีกมากมาย ที่นี้จะมีการแบ่งแยกสถานที่สักการะอย่างชัดเจน ชาวมุสลิมก็เข้าไปภาวนาในมัสยิดที่เป็นโดมสีทอง ชาวคริสต์ก็ภาวนาในโบสถ์คริสต์และเดินภาวนาตามทางที่เรียกว่าเป็นเวียโดโลโรซา (Via Dolorosa) หรือมรรคาศักดิ์สิทธิ์ ก็คือเส้นทางที่พระเยซูเดินแบกกางเขนก่อนถูกตรึงที่กางเขน เส้นทางนี้หากท่านใดเคยดูหนังเรื่องเดอะ แพสชั่น ออฟ เดอะ ไครสต์ (The Passion of The Christ) คงพอจะจำฉากนี้กันได้ที่พระเยซูทรงถูกทรมานเฆี่ยนตีจนเลือดออกท่วมพระกาย ถูกการเยาะหยันโดยคำพูดต่างๆนานาๆ และพระองค์ทรงถูกสวมมงกุฏหนาม
นครดาวิด (City of David) เป็นเนินเขาเล็ก ๆ ที่กษัตริย์ดาวิดได้ตั้งเป็นเมืองหลวงโดยยึดครองมาจากชาวเยบุสเมื่อ 3000 ปีที่แล้วโดยส่งทหารกล้าคือ โยอาบ เข้าไปทางอุโมงค์ซึ่งเป็นทางน้ำพุกิโฮน เพื่อโจมตีคนเยบุสและยึดตั้งเป็นนครของดาวิด น้ำพุกิโหนที่กษัตริย์โซโลมอนได้รับการเจิมอุโมค์ส่งน้ำที่สร้างในสมัยกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่นำน้ำจากนอกกำแพงมาไว้ที่สระสิโลอัม แต่ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ ผู้ที่ขุดอุโมงค์จากปลายทางและต้นทางสามารถขุดมาบรรจบกันโดยไม่มีวิทยาการสื่อสารที่ทันสมัยติดต่อกันเช่นปัจจุบัน แล้วสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อยากไรหากไม่ใช่ “การทรงนำของพระเจ้า”
สุสานกษัตริย์ดาวิด (King David’s Tomb) เดวิด หรือ ดาวิด(David) เด็กเลี้ยงแกะผู้กล้าหาญ ผู้ขึ้นเป็นกษัตริย์ที่มีคุณธรรม แม่ทัพผู้ไม่กลัวต่ออริศัตรูหน้าไหน นักกวีและนักดนตรีที่สร้างสรรค์ผลงานบทเพลงสดุดี (Psalms) อันไพเราะ ชื่อของพระองค์หมายถึง “เป็นที่รัก” ดาวิดเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่สองของราชอาณาจักรอิสราเอล สุสานกษัตริย์ดาวิดนี้ตั้งอยู่ในมุมส่วนล่างของซากสุเหร่าศิโยนในโบสถ์ไบเซนไทน์ ตั้งแต่สมัยไบเซนไทน์ไปจนถึงศตวรรษที่4มีการระบุว่าสถานที่นี้เป็นเคนาเคิล(cenacle)ของเยซูและสถานที่นัดพบเดิมของศาสนาคริสต์ โดยปัจจุบันสุสานของดาวิดอยู่ในการดูแลของฝ่ายอิสราเอล เนื่องจากดาวิดซึ่งชาวมุสลิมเรียกว่าบีดาวูดซึ่งเป็นกษัตริย์ชาวอิสราเอลที่มุสลิมนับถือว่าเป็นศาสนาทูตของอัลเลาะฮ์
อุโมงค์ฝังศพพระเยซู (Garden Tomb) อุโมงค์ที่สกัดไว้ในศิลา เป็นอุโมค์ใหม่ของเศรษฐีชื่อโยเซฟ อาริมาเธีย ศิษย์ของพระเยซู ผู้ที่เข้าไปขอพระศพของพระเยซูจากปีลาต อัญเชิญพระศพจากไม้กางเขน พันหุ้มไว้ด้วยผ้าป่านที่สะอาด และนำไปเก็บไว้ในอุโมงค์ เราเดินทางลัดเลอะมาเรื่อยๆถึงชายแดนอลันบีบริดจ์เพื่อที่จะข้ามสู่ประเทศจอร์แดน เมืองมาดาบา ที่ ยอดปิสกาห์ ภูเขาเนโบ (Mount Nebo) ในภาษาฮีบรู Nevo และในภาษาอัสซีเรียนเรียกว่า nabu เป็นภูเขาในแผ่นดินโมอับ ภูเขาเนโบตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงอัมมาน เมืองหลวงของประเทศจอร์แดน โดยอยู่ใกล้กับทะเลสาบเดดซีและแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับจอร์แดน ยอดเขาสูง 3,300 ฟุต วิวบนภูเขาเนโบ จะเห็นสภาพภูมิประเทศค่อนข้างแห้งแล้ง มีต้นไม้ขึ้นอยู่บ้าง บนยอดเขามีโบสถ์ที่สร้างอุทิศให้โมเสส ปัจจุบันถูกปรับปรุงโดยสร้างโบสถ์สมัยใหม่ครอบไปอีกชั้น (แต่ฐานกำแพงยังใช้ของเดิม) บนภูเขาเนโบพระเจ้าได้นำโมเสสขึ้นมาดูแผ่นดินคานาอันบนยอดเขานี้ ให้โมเสสได้เห็นในสิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะให้แก่ชนชาติอิสราเอลนี้ และทรงรับเขาไป เขาตายบนภูเขาเนโบ ที่ๆเขาได้พบกับพระเจ้าและตายในอ้อมกอดของพระเจ้า ทั้งนี้ไม่มีใครเห็นเขาเลย
การเดินทางที่แสนยาวไกล ใกล้สิ้นสุดลง….จากโมเสสทารกน้อยผู้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แม้แต่หานมดื่ม แต่กลับเป็นผู้ที่นำที่ยิ่งใหญ่นำชนชาติอิสราเอลนับล้านๆคนออกจากประเทศอียิปต์เพื่อปลดแอกจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์ สู่องค์พระเยซูเจ้ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่บนเป็นแผ่นดินสวรรค์ กษัตริย์ผู้มีความรัก ความเมตตา ความถ่อมสุภาพ กษัตริย์ผู้ที่ร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ หัวเราะกับผู้ที่หัวเราะ กษัตริย์ผู้ที่ยอมตายแทนผู้อื่นโดยไม่ถามแม้แต่คำเดียวว่าผู้นั้นมีบาปอะไร กษัตริย์ผู้ยอมลงมาใช้ชีวิตแฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป และ….พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์เดียวผู้ทรง “ปลดแอกความบาป” แบบถาวร
ในโลกนี้หากเราเชื่อว่าสิ่งโน้น นั้น นี้มีจริง(ไม่เห็นและหาข้อพิสูจน์ไม่ได้) แต่ทำไมเราถึงไม่เชื่อว่า “พระเจ้ามีจริง” ทั้งๆที่หลักฐานมากมายทางโบราณคดี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมายก็ชี้และแสดงให้เห็นอย่าง “ชัดเจน” คำตอบนี้คงไม่มีใครสามารถตอบคำถามเราได้ยกเว้นตัวและใจของเราเอง ในโลกนี้ “สิ่งที่ตามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าไม่มีจริง” เช่นเดียวกับเราหายใจเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย เรามองไม่เห็นแต่เรารู้ว่าหากเราขาดออกซิเจนเราต้องตาย สายลมเรามองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้ถึงความเย็นของมัน
จงมองในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น…..
จงมองในสิ่งที่คนอื่นเลือกที่จะไม่มอง…..
จงมองแง่มุมใหม่ๆของโลกในแต่ละวัน…..
และเราจะเห็นในสิ่งที่ใจเราค้นหา
จากอียิปต์สู่จอร์แดนดินแดนในพระคัมภีร์ก็ขอสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ บทความต่อไปนั้นจะเป็นอะไรผู้เขียนก็ขอฝากผู้อ่านที่น่ารักติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าหากอยากจะให้แนะนำเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็เขียนเข้ามากันได้เลยคะ และวันนี้ขออำลาไปด้วยคำว่า “ชาโลม” คำทักทายที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาของคนยิวในประเทศอิสราเอล 🙂
หมายเหตุ*** คำว่า “ชาโลม” ให้ภาษาฮีบรูไม่ใช่มีความหมายเพียงแค่ “สันติสุข” ที่เกิดภายในจิตใจเท่านั้น แต่คำว่า “ชาโลม” นั้นยังรวมถึงความเป็นตัวตนทั้งหมดของคุณ ทั้งวิญญาณ, ความคิดจิตใจ, และร่างกาย หมายความว่ามีความสมบูรณ์ แข็งแรงด้วย ในอีกความหมายหนึ่งคือ “ชาโลม” ปกคลุม ความเจริญมั่งคั่ง, ร่างกายที่แข็งแรงและ สิ่งดีๆทุกอย่างด้วย
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.