15 สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม ถ้าพูดถึงประเทศเวียดนามหรือ อีกชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภูมิประเทศส่วนใหญ่โอบล้อมไปด้วยภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ เวียดนามนามมีฤดูกาลทั้งหมด 4 ฤดู คือ
1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-เมษายน) มีฝนตกเล็กน้อยและความชื้นสูง อุณหภูมิประมาณ 17 ํ C-23 ํ C
2. ฤดูร้อน (พฤษภาคม-สิงหาคม) อากาศร้อนและมีฝน อุณหภูมิประมาณ 30 ํC – 39 ํ C เดือนที่ร้อนที่สุดคือ มิถุนายน
3. ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิ 23 ํC – 28 ํ C
4. ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในรอบปี คือ ประมาณ 7 ํC – 20 ํ C แต่ในบางครั้งอุณหภูมิอาจลดลงถึง 0 ํ C เดือนที่หนาวเย็นที่สุดคือ มกราคม

สารบัญสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  1. บานาฮิลล์ (Bana Hills)สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  2. จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  3. สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’s Mausoleum)
  4. ปราสาทหมีเซิน (My Son Sanctuary)
  5.  อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  6.  ซาปา (Sapa) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  7. ล่องฮาลองบกที่นิงห์บิงห์ (Ninh Binh) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  8. อุโมงค์กู๋จี (Củ Chi tunnels)สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
  9. พระราชวังเว้ (Hue Royal Palace)
  10. เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old Town)
  11. ภูเขาทรายสองสีที่หมุยแหน (The Sand Dunes of Mui Ne)
  12. โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral)
  13. ตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)
  14. สะพานญึ่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)
  15. ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือ ทะเลสาบคืนดาบ)
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

เราก็รู้จักประเทศเวียดนามกันคราวๆแล้วถ้างั้นเราไปดูกันเลยว่าเวียดนามมีสถานที่เที่ยวอะไรหน้าสนใจอะไรกันบ้างเริ่มที่แรกกันเลย……

บานาฮิลล์ (Bana Hills)สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

รู้จัก บานาฮิลล์ (Bana Hills)
บานาฮิลล์ (Bana Hills) ตั้งอยู่ในเมืองดานัง (Da Nang) อยู่ห่างจากตัวเมืองทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 20 กิโลเมตร โดยตั้งอยู่บนเทือกเขาเจื่องเซิน (Mount Trường Sơn) หลายคนที่อ่านรีวิวแล้วอาจจะเข้าใจว่านี่คือหมู่บ้านฝรั่งเศสแบบโบร่ำโบราณที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ เออ นี่จะบอกว่าไม่ใช่ แต่นี่มันคือธีมพาร์ค หรือสวนสนุกของกลุ่ม Sun World ที่ด้านในมีทั้งสวนสนุก โรงแรม ร้านอาหาร และพื้นที่สำหรับพักผ่อนสไตล์ฝรั่งเศสนั่นเอง

บานาฮิลล์ (Bana Hills) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1919 โดยกัปตันชาวฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า ‘Debay’ และรัฐอาณานิคม ที่ต้องการพื้นที่สร้างรีสอร์ทและวิลล่าเพื่อหนีอากาศร้อนๆ ของดานัง ซึ่งฝรั่งเศสเองก็ได้ลงทุนและสร้างที่พักวิลล่าตากอากาศกว่า 200 หลังในบานาฮิลล์เลยทีเดียว จนสุดท้าย บานาฮิลล์ก็ต้องถูกทิ้งร้างไปจากการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศส ต่อกองทัพปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ใน ‘ศึกเดียนเบียนฟู (Battle of Diem Bien Phu)’ ในปี ค.ศ. 1954

จัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพจัตุรัสโฮจิมินห์ (Tran Nguyen Hai Statue)

ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองโฮจิมินห์ แนะนำให้มาเริ่มตรงใจกลางแห่งนี้ เพราะสามารถไปยังจุดอื่นๆ ได้ง่าย โดยจุดนี้จะมีรูปปั้นของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ กับเด็กๆ ด้านหลังเป็นศาลาว่าการเมือง ซึ่งดูแปลกตาในสไตล์ฝรั่งเศส ถ้ามองจากตรงนี้สามารถมองให้เห็นถึงความจอแจของเมืองใหญ่ เพราะที่นี่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางของเมืองแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการค้าอีกด้วย คล้ายกับสีลมของเมืองไทย แต่รถไม่ติดเพราะที่เมืองนี้มีรถยนต์น้อย มีรถมอเตอร์ไซด์มากกว่า เวลาข้ามถนนต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

สุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’s Mausoleum)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพสุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’s Mausoleum)

สุสานบรรจุศพแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองฮานอย ภายในอนุสาวรีย์มีโลงแก้วบรรจุร่างของ โฮจิมินห์ หรืออดีตนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม แต่คนเวียดนามมักเรียกกันว่า “ลุงโฮ” ส่วนรูปแบบสถาปัตยกรรมนั้นยึดโมเดลมาจากอนุสาวรีย์บรรจุศพของ วลาดีมีร์ เลนิน ในประเทศรัสเซีย เปิดให้สาธารณชนเข้าชมครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1975 และในทุก ๆ ปีร่างของลุงโฮจะถูกส่งไปตรวจสอบความสมบูรณ์ที่รัสเซีย

ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ที่จตุรัสบาดิงห์ (Ba Dinh Square) เปิดทำการวันอังคาร-พฤหัสบดี และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-11.00 น. สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมชมต้องสวมเครื่องแต่งกายสุภาพเรียบร้อย (ห้ามสวมเสื้อแขนกุด กระโปรงสั้นเหนือเข่า กางเกงขาสั้น)

ปราสาทหมีเซิน (My Son Sanctuary)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพปราสาทหมีเซิน (My Son Sanctuary)

ปราสาทหมีเซินเป็นสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือมาจากอาณาจักรจามปาหรือช่วงศตวรรษที่ 4-15 สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมของฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน ในอดีตปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบูชาพระศิวะ นอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีรูปปั้น วัด และถูกห้อมล้อมไปด้วยป่าดงดิบ ในสมัยก่อนมีสิ่งก่อสร้างโบราณกว่า 70 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนามโบราณสถานฮินดูนี้ถูกระเบิดตกใส่ไปหลายแห่ง จนปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 22 หลังเท่านั้น และที่สำคัญได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ในชุมชน Duy Tan จังหวัดกว๋างนาม (Quang Nam) หรืออยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองดานัง 70 กิโลเมตร และห่างจากเมืองฮานอย 40 กิโลเมตร และเปิดทำการตลอดทั้งปี สำหรับเวลาที่เหมาะสมในการมาเยี่ยมชม คือ ช่วงเช้า เพราะอากาศกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป

 อ่าวฮาลอง (Ha Long Bay) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพอ่าวฮาลอง (Ha Long Bay)

อ่าวฮาลอง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ของพันธุ์สัตว์ เพราะมีความหลากหลายทางชีวภาพ จนยูเนสโกต้องยกย่องให้เป็นมรดกโลก อ่าวนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเวียดนาม และอยู่ไม่ห่างจากเขตแดนของประเทศจีนมากนัก จุดเด่นของอ่าวนี้ คือ มีเกาะหินปูนโผล่ขึ้นกระจาย ๆ ทั่วอ่าว ครอบคลุมพื้นที่ถึง 1,500 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ ยังได้รับคำชื่นชมจากนักท่องเที่ยวว่ามีบรรยากาศที่สวยงามเกินจริง เสมือนฉากในตอนจบของภาพยนตร์ซึ่งมีแสง สี ที่ลงตัวสุด ๆ เลยทีเดียว

 ข้อมูลเพิ่มเติม : อ่าวฮาลองอยู่ห่างจากกรุงฮานอย 170 กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเริ่มต้นการเดินทางจากกรุงฮานอย โดยใช้บริการรถยนต์ รถมินิบัส รถประจำทาง หรือเฮลิคอปเตอร์

 ซาปา (Sapa) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพซาปา (Sapa)

ซาปา (Sa Pa) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ในเขตจังหวัดลาวไค ใกล้กับชายแดน จีน ภูมิประเทศตั้งอยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,650 เมตร จึงมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี ทำให้เพาะปลูกผักผลไม้ได้ดี มี ตลาดบั๊กห่า ที่ขึ้นชื่อของเวียดนามเหนือ เป็นศูนย์รวมของกินของใช้ของชาวเมืองภูมิภาคนี้ ปัจจุบันซาปามีประชากรอาศัยอยู่ราว 37,000 คน นับเป็นดินแดนแห่งดอย ที่มีความหลากหลายของชาติพันธุ์มากที่สุดในประเทศเวียดนาม

ซาปา เมืองเล็กๆ แห่งนี้เริ่มต้นเป็นเมืองแห่งการพักผ่อน เมื่อฝรั่งเศสซึ่งปกครองเวียดนามอยู่ในขณะนั้น ได้มาสร้างสถานีบนภูเขาขึ้นในปี พ.ศ.2465 จากนั้น จึงเริ่มมีชาวต่างชาติซึงอยู่ในฮานอย มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดเป็นประจำ เพราะอากาศดีและเงียบสงบ จนเมื่อนักเดินทางได้รับข่าวและมาเห็นถึงบรรยากาศจริงๆ รวมไปถึงเหล่านักเดินทางจากทั่วโลกก็ได้รับสารเหล่านี้เช่นกัน นั่นจึงทำให้ปัจจุบันที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่สำคัญนอกจากบรรยากาศแล้ว บรรดาชาวเขาที่อยู่บริเวณนี้ก็น่าสนใจไปเยี่ยมชมมากเช่นกัน พื้นที่ ซาปา เต็มไปด้วยนาขั้นบันไดที่มากมายท่ามกลางลาดไหล่เขาที่ทอดตัวอย่างมีเสน่ห์ หรือถ้าชอบเดินป่าก็มียอดเขา ฟานสีปัน ให้พิชิตบนความสูง 3,143 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งสูงสุดในละแวกอินโดจีน

ข้อมูลเพิ่มเติม

รามตอนพาส เป็นจุดชมวิวสูงสุดในบริเวณซาปา และเป็นจุดสูงสุดในเวียตนาม ความสูง 1,900 เมตร และยังเป็นเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดลาวไค กับจังหวัดไลโจว เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของ เทือกเขาฟานสีปันได้อย่างสวยงามมากๆ จะเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน และจะเห็นถนนคดเคี้ยวไปตามริมหน้าผาเพื่อตัดลงสู่ที่ราบต่อไปจนถึงเมืองไลโจว

หมู่บ้านกัตกัต (Cat Cat Village) หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองซาปา 3 กิโลเมตร หมู่บ้านกัตกัต เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวเผ่าม้งซึ่งอพยพมาจากประเทศจีน มีเครื่องแต่งกายที่นิยมโทนสีน้ำเงินเข้มหรือดำ ที่นี่มีวิวทิวทัศน์ของนาขั้นบันได นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวชมหมู่บ้านนี้ได้ง่าย

ล่องฮาลองบกที่นิงห์บิงห์ (Ninh Binh) สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพล่องฮาลองบกที่นิงห์บิงห์ (Ninh Bi

เมืองนิงห์บิงห์เป็นเมืองชนบทเล็กๆของกรุงฮานอย หรือ เมืองหลวงของเวียดนาม ฮานอยมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติสำคัญได้แก่ฮาลองเบย์ หรืออ่าวฮาลอง ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมาเมื่อ 17 ปีมานี้เอง คนไทยรู้จักอ่าวฮาลองมากขึ้นนับจากเวียดนามเริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ หรือหลังรวมเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกันและในขณะเดียวกันก็มีภาพยนต์สารคดีท่องเที่ยว เรื่อง อ่าวฮาลองออกสู่สายตาชาวโลกพร้อมๆกับสถานท่องเที่ยวอื่นๆของเวียดนาม

ส่วนฮาลองบก เป็นชื่อที่คนไทยตั้งฉายาให้ ฮาลองบกนี้ใช้เรือแจวขนาดเล็กๆนั่งได้ราว 3-4 คน โดยมีชาวบ้านเป็นคนพายเรือล่องไปในลำน้ำที่ลัดเลี่ยวไปตามหุบเขาเป็นบรรยากาศที่ดีมาก  ทุกอย่างดูเงียบสงบ จะได้ยินเสียงแต่ไม้พายกระทบน้ำ  และส่วนใหญ่จะพายตามๆกันไปเหมือนเป็น ระหว่างนั้นก็ชมทิวทัศน์ของทะเลสาบอันน่าตื่นตา  หลายคนเปรียบเทียบว่าไม่ต่างกับกุ้ยหลินในจีน  แต่ความจริงแล้วเมืองนิงห์บิงห์กับเมืองกุ้ยหลินในมณฑลกวางสีของจีนก็อยู่ไม่ห่างนอกจากนี้ภูมิประเทศจึงดูคล้ายๆกันด้วย แต่ต่างกันตรงที่ฮาลองบกจะมีทุ่งนาขึ้นมาแทน ปรากฏการณ์ของธรรมชาติเช่นนี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงของฤดูกาลทำนาของชาวบ้าน ซึ่งรับรองว่า ทุกท่านที่ได้มาเยือนที่ ฮาลองบกแห่งนี้ต้องประทับใจในในความสวยงามของที่นี้อย่างแน่นอน

ข้อมูลเพิ่มเติม: ควรเที่ยวในช่วงของฤดูกาลทำนาของชาวบ้านเพราะจะมีความสวยงามมากที่สุด และควรเตรียมเส้อกันฝนไปด้วย

อุโมงค์กู๋จี (Củ Chi tunnels)สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพอุโมงค์กู๋จี (Củ Chi tunnels)

อุโมงค์กู่จี ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการไปเที่ยวเวียดนาม ใต้เลยก็ว่าได้ โดยอุโมงค์กู่จีอยู่ที่เมืองกู่จี เป็นอุโมงค์ของชาวเวียดกงที่ขุดขึ้นขนาดพอดีกับตัวในสมัยที่ทำสงครามกับกองทัพอเมริกา รวมถึงกองทหารพันธมิตรจากนานาประเทศ โดยอุโมงค์กู่จีถูกขุดขึ้นเพื่อใช้ในการซุ่มโจมตีกองกำลังทหารจากอเมริกาและพันธมิตร ด้วยอุโมงค์กู่จีนี้จึงทำให้ทหารเวียดนามได้รับชัยชนะในการรบกับทหารอเมริกา ถึงขั้นที่อเมริกาคิดที่จะมาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์แต่ถึงพันธมิตรยับยั้งไว้ก่อน โดยอุโมงค์กู่จีนี้มความยาวกว่า 200 กิโลเมตร และสามารถอยู่อาศัยได้ถึง 80,000 คน และใช้เป็นที่บัญชาการทางทหารหลายครั้งระหว่างสงครามเวียดนาม และเป็นฐานปฏิบัติการของเวียดกง เมื่อครั้งการรุกเทศกาลตรุษญวนในปี ค.ศ. 1968 และเป็นหลุมหลบภัยอีกด้วย

อุโมงค์กู๋จี (Củ Chi tunnels) เป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมถึงกันในอำเภอกู๋จีในไซ่ง่อน (ปัจจุบันคือ โฮจิมินห์ซิตี) และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ

อุโมงค์ดังกล่าวถูกใช้โดยกองโจรเวียดกงเป็นจุดซ่อนตัวระหว่างการปะทะ เช่นเดียวกับเป็นเส้นทางสื่อสารและเสบียง โรงพยาบาล สถานที่เก็บอาหารและอาวุธและที่พักอาศัยของนักสู้กองโจรจำนวนมาก ระบบอุโมงค์ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ เวียดกงในการต่อสู้กับทหารสหรัฐ จนกระทั่งสหรัฐต้องถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ในที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติม : ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองโฮจิมินห์ 70 กิโลเมตร และเปิดให้บริการตลอดทั้งปี

พระราชวังเว้ (Hue Royal Palace)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพพระราชวังเว้ (Hue Royal Palace)

เป็นพระราชวังของราชวงศ์เหงียน (Nguyen Dynasty) ซึ่งถื่อว่าเป็น สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม ยังคงหลงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน ภายในประกอบด้วย พระราชวัง สุสานของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ เจดีย์ วัดวาอาราม ห้องสมุด และพิพิธภัณฑ์ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สร้างขึ้นเมื่อประมาณศตวรรษที่ 19 แต่สำหรับสิ่งก่อสร้างที่สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก คือ ประตูทางเข้าพระราชวัง (Ngo Mon Gate) ซึ่งเป็นทางเดินเข้าสำหรับกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และสุสานพระเจ้ามิงห์หมาง (The Tomb of Emperor Minh Mang) ซึ่งนอกจากจะเป็นพระราชวังที่ก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังมีทิวทัศน์ที่งดงามไม่แพ้กัน จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

พระราชวังเว้ (Hue Royal Palace) ถือได้ว่าเป็นพระราชวังเพียงที่นี่ที่เดียวในประเทศเวียดนาม ที่เป้นสถานที่ประทับของกษัตริย์ในราชวงค์เหงียนทั้ง 13 พระองค์ ในช่วงระหว่าง คศ. 1802 – 1935 กษัตริย์องค์แรก ชื่อกษัตริย์ยาลอง( Gia Long) พระองค์สร้างพระราชวังนี้เมื่อ ค.ศ.1805 แต่แล้วเสร็จในปี ค.ศ 1832 รวมระยะเวลาก่อสร้างนานถึง 27 ปี กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ประทับชื่อกษัตริย์ เบ่าได๋ และเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเวียดนาม…จากนั้นเวียดนามกลายประเทศสังคมนิยมหลังจากกองกำลังโฮจิมินห์ ขับไล่ฝรั่งเศสจนได้รับอิสรภาพ กษัตริย์เบ่าได๋ถูกกดดันให้สละราชบัลลังค์เมื่อ ปี พศ.2498 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 9 ของไทย และเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ

พระราชเว้ได้สร้างตามแบบของพระราชต้องห้ามในประเทศจีนแต่ย่อส่วนให้เล็กกว่า มีสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง ลักษณะของพระราชวังคล้ายกับพระราชวังสวนจิตลดา คือเป็นรูปสีเหลี่ยมจัตุรัส ความยาวด้านละ 1 กม. มีคูน้ำล้อมรอบ แต่พระราชวังเมืองเว้กว้างขวางกว่ามาก คือมีความยาวด้านละ 2.5 กม. รวมทั้งสีด้านมีความยาวประมาณ 11 กม. พื้นที่ของพระราชวังที่เป็นเขตชั้นในจะเหลือพระตำหนักสำคัญๆเพียงไม่กี่แห่ง เนื่องจากเคยถูกเผามาครั้งหนึ่งจากฝรั่งเศส คศ. 1945 พระราชวังร้างแห่งนี้ก็กลายเป็นที่ซ่องสุมพวกเวียดกงในสมัยสงครามเวียดนาม จึงถูกกองทัพสหรัฐถล่มทั้งทางบกและทางอากาศในปี คศ.1968 ทำให้พระราชวังเสียหายยับเยิน ปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามกำลังพัฒนาปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ค.ศ. 1993

ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 16 บาท (10,000 ดงเวียดนาม) ค่าเข้าชมสำหรับเด็ก (อายุ 10-15 ปี) ราคา 8 บาท (5,000 ดงเวียดนาม) สำหรับเวลาทำการนั้น เปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ในช่วงฤดูร้อนเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ในฤดูหนาวเปิดตั้งแต่เวลา 07.30-17.30 น.

เมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old Town)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพเมืองเก่าฮอยอัน (Hoi An Old Town)

เมืองเก่าฮอยอันเป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ ชาวบ้านยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม อีกทั้งภายในเมืองยังมีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่จัดแสดงเรื่องราวความเป็นมาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า มีอาคารต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมทั้งตะวันตกและตะวันออก เช่น บ้าน โคมไฟโบราณแบบจีน สะพานข้ามคลองที่มีการดีไซน์แบบประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมืองฮอยเก่าอันจะได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก นอกจากนี้ ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ส่วนการสัญจรไปมาในเมืองนั้นก็สะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเดิน ปั่นจักรยาน หรือขับรถจักรยานยนต์ก็ได้ เพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ในยามค่ำคืนหลังสี่ทุ่มไปแล้วจะค่อนข้างเงียบ แต่ยังพอมีผับบาร์ ร้านขายเครื่องดื่มเปิดให้บริการอยู่บ้าง ที่สำคัญผู้คนในเมืองเป็นมิตร อัธยาศัยดี มีน้ำใจกับนักท่องเที่ยว

คนไทยรู้จักฮอยอันกันมากเมื่อมีละครทีวี ฮอยอัน ฉันรักเธอ ฉายที่เมืองไทยไม่นานมานี้ ทำให้คนไทยเดินทางมาเที่ยวเมืองฮอยอันอย่างไม่ขาดสาย จัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม

ปี ค.ศ.1999 (’42) Unesco ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม และสนับสนุนด้านการเงินในการบูรณะซ่อมแซม. ฮอยอันในปัจจุบันได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันมาก บ้านโบราณ ตึกเก่าที่เคยเป็นร้านค้าในสมัยนั้น วัดเซน (วัดญี่ปุ่น) ศาลเจ้า (แบบจีน) ยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก บ้านเลขที่ 101 มีหลังคาทรงกระดองปูทำด้วยไม้แกะสลักอย่างสวยงามประกอบด้วยเอกลักษณ์ ของสามชาติคือ จีน ญี่ปุ่น และเวียดนาม บ้านหลังนี้ยังคงมีผู้สืบทอดมาจนถึงรุ่นที่ 6 และเครื่องใช้ไม้สอยบางอย่างมีอายุถึง 200 ปี และ

เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนเมืองฮอยอันคือการได้เข้าไปเยี่ยมชมบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ที่ยังคงงดงาม มีให้เลือกชมอยู่หลายหลัง แต่คุณสามารถเลือกเข้าชมได้เพียง 1 หลังจากบัตรเข้าชม นอกเหนือจากนี้คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าชมในบ้านแต่ละหลังเอง เริ่มตั้งแต่ถนนตรันฝู ที่ตั้งของบ้านเลขที่ 77 ซึ่งเป็นบ้านของลูกหลานชาวจีนเก่าแก่อายุเกือบ 80 ปี ซึ่งอยู่อาศัยมาถึง 6 รุ่นแล้ว ภายในใช้เครื่องไม้ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ถัดมาที่ถนนเหวียนไทฮ็อกที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของสถาปัตยกรรมแบบฮอยอัน บนถนนสายนี้มีบ้านประจำตระกูลเก่าแก่ให้เลือกเข้าชมทั้งหมด 3 หลังด้วยกัน เริ่มจากบ้านเลขที่ 22 บ้านเก่า 2 ชั้น ของชาวจีนที่เข้ามาติดต่อเพื่อซื้อขายอบเชย สร้างมาเกือบ 901 ปีแล้ว ภายในแบ่งเป็น 2 ช่วงคือบ้านไม้ และบ้านปูนเก่าที่สร้างอย่างประณีต เป็นครอบครัวที่ใหย๋ที่เปิดให้เข้าชมได้

และที่คุณำลาดไม่ได้คือบ้านเลขที่ 101หรือ Old House No.101 เป็นบ้านของชาวจีนในตระกูล Tan Ky นับเป็นบ้านไม้ที่เก่าแก่และสวยงามที่สุดของเมืองฮอยอัน สร้างขึ้นเมื่อ 75 ปีที่แล้วและอยู่กันมา 5 ชั่วอายุคน ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างลงตัว ตั้งแต่ ห้องสมุดสมัยก่อน ห้องรับแขก และห้องครัว

ข้อมูลเพิ่มเติม : ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองเก่าฮอยอันคนละ 181 บาท (120,000 ดงเวียดนาม) นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมพิพิธภัณฑ์เมืองเก่าต้องแต่งกายสุภาพ เช่น ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ต ผู้หญิงห้ามสวมเสื้อไม่มีแขนและกระโปรงสั้นเหนือเข่า

ภูเขาทรายสองสีที่หมุยแหน (The Sand Dunes of Mui Ne)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
ภาพภูเขาทรายสองสีที่หมุยแหน (The Sand Dunes of Mui Ne)

นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังที่แห่งนี้รับรองได้เลยว่าจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับทะเลทราย เพราะภูเขาทรายที่หมุยแหนหรือที่หลายคนคุ้นเคยกับสำเนียง “มุยเน่” นั้น มีขนาดใหญ่และอยู่ติดกับชายทะเล จึงมีแดดและลมที่แรงมากทีเดียว ที่นี่มีเนินทรายอยู่ 2 แห่ง คือ ภูเขาทรายขาวและภูเขาทรายแดง ซึ่งภูเขาทรายขาวนั้นมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Bau Trang และมีร้านอาหารขนาดเล็กเปิดบริการสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย สำหรับภูเขาทรายแดงแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่า แต่เป็นที่นิยมมากกว่าในสายตาของช่างภาพ เนื่องจากสีทรายมีสีแดงเข้ม ถ่ายรูปออกมาแล้วสีสวยกว่าที่ภูเขาทรายขาว ส่วนกิจกรรมยอดฮิต คือ การเล่นกระดานเลื่อนบนเนินทรายสูงลงมาด้านล่าง ซึ่งอุปกรณ์สำหรับเล่นนั้นสามารถหาเช่าได้จากร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ภูเขาทราย

ข้อมูลเพิ่มเติม : เปิดให้บริการตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยว คือ ช่วงเช้าหรือไม่ก็ช่วงเย็น เพราะตอนกลางวันถึงช่วงบ่ายนั้นอากาศและแดดแรงมาก

โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedral)

ภาพโบสถ์นอร์ทเธอดาม (Notre Dame Cathedra

ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในเวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์

ตลาดบินถั่น (Ben Thanh Market)

Ben Thanh market title photo

ตั้งอยู่บนถนนเลเลย (Le Loi) ใกล้ๆ กับจัตุรัสโฮจิมินห์ ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 บนพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีหอนาฬิกาอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ ตลาดแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งจากคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะมีสินค้าจำหน่ายมากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทาง เป้ นาฬิกา ของที่ระลึก อาหาร เครื่องเทศ ไปจนถึงอาหารสด และดอกไม้ ราคาไม่แพง

สถานที่ตั้ง: โฮจิมินห์ซิตี, เวียดนาม

ค่าธรรมเนียม: ไม่ใช่

สะพานญึ่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเวียดนาม
สะพานญึ่ปุ่น (Japanese Covered Bridge)

สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองฮอยอันที่คุณต้องมาชมคือ สะพานญี่ปุ่น ได้รับการก่อสร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว รูปทรงโค้งของสะพานและหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวและเหลืองเป็นคลื่น ตรงกลางสะพานมีเจดีย์ทรงจัตุรัสที่สร้างอุทิศให้แก่ดั๊กเดและตรันหวู ก่อนเดินข้ามสะพานด้านซ้ายมือจะมีรูปปั้นสุนัขกำลังนั่ง และเมื่อข้ามไปแล้วก็จะเจอกับลิงอีกตัว นับเป็นสิ่งที่ช่างสมัยก่อนแสดงให้เห็นถึงระยะเวลาในการก่อสร้าง สะพานแห่งนี้ เมื่อข้ามสะพานมายังอีกฟากหนึ่งของเมือง คุณจะพบเห็นบ้านเรือนเก่าสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ตลอดจนร้านสไตล์อาร์แกลอรี่ริมถนนคนเดินสองฟากฝั่งถนนให้คุณได้เลือกซื้อเลือกชม ส่วนถนนอีกเส้นคือ เหวียนทิมิงห์ไค ที่มีบ้านเก่าอีกหลังที่น่าสนใจเช่นกัน คือ บ้านเลขที่ 7 เป็นบ้านชาวจีนทที่ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากบนผืนแผ่นดินเวียดนามเมื่อครั้งขบวนเรือสำเภาเข้ามาค้าขายในเมืองท่าแห่งนี้

เอกลักษณ์ของบ้านไม้เก่าในฮอยอันก็คือ ส่วนหน้าบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่งและหลังบ้านจะอยู่ติดกับถนนอีกสายหนึ่ง บริเวณหลังบ้านจะยาวมาก ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักงดงามและ หน้าบ้านจะดัดแปลงมาเป็นร้านค้าขายของที่ระลึก สำหรับนักท่องเที่ยว

ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือ ทะเลสาบคืนดาบ)

Ho Hoan Kiem -092050
ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือ ทะเลสาบคืนดาบ)

ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าฮานอย ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่าครั้งอดีตพระเจ้าเลไทโต (Le Thai Yo) ได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวก หมิงจนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระแล้ว พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบ เพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์แล้วหายไปในทะเลสาบ อันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ หากมองไปกลางทะเลสาบจะเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว (Thap Rua) ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล

สุดท้ายนี้ก็ขอฝากถึงผู้ที่กำลังคิดจะเดินทางไปเที่ยวแต่ ยังคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี  แถมไม่ไกลจากประเทศไทยเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เราแนะนำว่าคุณไม่ควรพลาด…….

คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.