ถ้าพูดถึงของดีเยอรมนี สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร….?? เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน แต่ประวัติศาสตร์ที่ทำให้คนทั้งโลกต่างก็รู้จักกับเยอรมนีนั้นก็คือ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งเยอรมนีเป็นผู้แพ้สงคราม สมัยนั้นผู้ที่ปกครองประเทศแห่งนี้คือ ชายผู้ซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเค้าคนนี้ นั้นก็คือ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนโลกใหม่ มีใครรู้บ้างว่าที่ประเทศเยอรมนีเค้าขึ้นชื่อเรื่องอะไร……..ใช่แล้ว ที่นี้เค้ามีชื่อเสียงเรื่อง ไส้กรอก และ เบียร์สดรสชาติดีเอามากๆแถมพูดถึงเบียร์สดแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นเทศกาล Octoberfest หรือ ที่เยอรมนีเค้าเรียกเทศกาลนี้ว่า Wiesn คนทัวร์โลกจะหลั่งไหลมาที่เทศกาลนี้ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ใครที่ชอบดื่มเบียร์เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด นอกจากนี้เยอรมนียังถือว่าเป็นเป็นประเทศต้นกำเนิดของรถหรูยี่ห้อดังๆ เช่น Mercedes-Benz , BMW , Audi, และ Volkswagen ส่วนภูมิประเทศก็มีความสวยงามแตกต่างกันไป ทั้งเทือกเขาที่สลับลดหลั่นกันไป หรือจะเป็นทางตอนเหนือที่มีแนวชายฝั่งและปากแม่น้ำที่สวยงาม ส่วนทางตอนใต้ที่ราบวานาเรียนก็เต็มไปด้วยแนวเขาและแม่น้ำขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมไปถึงเทือกเขาแอลป์
คำถาม ?? เยอรมนีมีเมืองที่หน้าท่องเที่ยวมั้ย ?
คำตอบ ?? คือ มีคะแถมเยอะซะด้วยงั้นเราลองไปดูกันว่ามีที่ไหนกันบ้าง
เริ่มจากที่เมืองแรกกันเลย ก็คงหนีไม่พ้นเมืองหลวงของเยอรมนี หรือ กรุงเบอร์ลิน (Berlin) นั้นเอง
- กรุงเบอร์ลิน (Berlin) แหล่งท่องเที่ยวของดีเยอรมนี
- แห่งสุดท้ายที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนกรุงเบอร์ลิน คือ กลุ่มพิพิธภัณฑ์
- พระราชวังซ็องซูซี ( Sans souci Palace)
- เมืองมิวนิค (Munich ) มีของดีเยอรมนีเยอะมาก
- ฮัมบวร์ก( Hamburg) หรือ ฮัมบูร์ก เมืองแสนสวย
- เมืองโคโลญจ์ (Cologne)
- อาหารขึ้นชื่อ ของดีเยอรมนี มาแนะนำ
- มาถึงของฝากที่ขึ้นชื่อ ของดีเยอรมนีที่ควรซื้อกลับ
กรุงเบอร์ลิน (Berlin) แหล่งท่องเที่ยวของดีเยอรมนี
กรุงเบอร์ลิน (Berlin) เป็นเมืองหลวงของเยอรมนีที่เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม ศิลปะ แฟชั่น ดนตรี สถาปัตยกรรม และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวมีให้เราเที่ยวซะจนไม่หวาดไม่ไหว มาเยือนกรุงเบอร์ลินทั้งที ไม่มาที่นี้ก็คงไม่ได้ นั้นก็คือ กำแพงเบอร์ลินนั้นเอง
กำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมนีในช่วงสงครามเย็น กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นพรมแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีตะวันตก กับเยอรมนีตะวันออกที่โอบอยู่โดยรอบ มีความยาวทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) และปิดกั้นพรมแดนนี้เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนถูกทลายในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
ประตูบรันเดนบูร์ก (Brandenburger Tor)
ต่อด้วยสถานที่แห่งที่2 ซึ่งมีความสำคัญไม่ต่างจากแห่งแรกเลย ถ้าลองสังเกตุประตูบรันเดนบูร์กดูแล้วอาจจะดูคุ้นๆเพราะเหมือนกับประตูชัยของอิตาลี ใช่คะ!! เพราะนี้คือประตูชัยของประเทศเยอรมนีนั้นเอง ประตูบรันเดนบูร์ก (Brandenburger Tor) เป็นอดีตประตูเมืองที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นประตูชัยที่สร้างแบบสถาปัตยกรรมฟื้นฟูคลาสสิก (Neoclassical) และปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีใน กรุงเบอร์ลิน เหตุผลของการสร้างประตูบรันเดนบูร์กนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ ส่วนเวลาในการสร้างนั้น ใช้เวลาสร้างตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2331 ถึงปี 2334 หรือ 4 ปี และได้ความเสียหายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาประตูบรันเดนเบิร์กก็ได้รับการบูรณะจนเสร็จสิ้น ในช่วงปีพุทธศักราช 2543 ถึง 2545 โดย มูลนิธิอนุรักษ์อนุสาวรีย์เบอร์ลิน (Stiftung Denkmalschutz Berlin) ประตูบรันเดนบูร์กตั้งอยู่ในเยอรมนีตะวันออก ซึ่งแยกออกจากเยอรมนีตะวันตก โดยมีกำแพงเบอร์ลินกั้นไว้ และตั้งแต่มีการสร้างประตู เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเยอรมนีในบริเวณประตูบรันเดนบูร์ก บ่อยครั้ง ถือได้ว่าประตูชัยแห่งนี้เป็นทั้งสัญลักษณ์ของความปั่นป่วนในประวัติศาสตร์ยุโรป และก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพและสันติภาพของยุโรปด้วย
โบสถ์อนุสรณ์ไกเซอร์วิลเฮล์ม (Kaiser Wilhelm Memorial Church) ถือว่าเป็นอนุสรณ์ถึงสงครามโลก ครั้งที่ 2 ถือว่าโบสถ์อนุสรณ์ไกเซอร์วิลเฮล์มนั้นเป็นสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างแปลกถ้า เพราะเป็นสถาปัตกรรมที่สร้างประสมกันระหว่างของเก่าและใหม่ ฟังดูอาจจะไม่เข้าใจ งั้นยกตัวอย่างคือ มีการสร้างโบสถ์ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มอาคาร 4 หลัง อยู่รอบ โบสถ์เก่าซึ่งมีอายุ ประมาณ 124 ปี นั้นเอง โดยตอนแรกของการสร้างโบสถ์มีการออกแบบเบื้องต้นคือ ต้องรื้อทำลายส่วนยอดของโบสถ์ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะถูกกดดันจากสาธารณชน จึงต้องเก็บส่วนยอดไว้ ส่วนห้องโถงของโบสถ์เก่านั้นถูกรื้อออก ตัวโบสถ์ใหม่จึงสร้างรวมเข้าด้วยกันกับโบสถ์เก่าในรูปแบบใหม่ โบสถ์ใหม่จึงประกอบด้วย ตัวโบสถ์ใหม่นั้นมีทางเข้าทางด้านตะวันตก และตั้งอยู่ด้านตะวันตกของโบสถ์เก่า ส่วนทางด้านตะวันออกของโบสถ์เก่ามีหอคอยสูง และหอเล็ก ๆ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ตัวโบสถ์ใหม่ยังถูกออกแบบเป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยมที่ใครเห็นครั้งแรกก็สะดุดตา ในขณะที่หอคอยถูกออกแบบเป็นทรงหกเหลี่ยม ซึ่งสร้างโดยคอนกรีต เหล็ก และกระจก ส่วนผนังโบสถ์มีลักษณะเป็นกำแพงรังผึ้ง โดยมีการฝังกระจกจำนวน 21,292 อยู่ภายในผนัง ตัวกระจกได้รับแรงบันดาลใจจากมหาวิหารชาทร์ ในฝรั่งเศส และใช้สีฟ้าเป็นสีที่โดดเด่น รวมถึงผสมสีทับทิม มรกต และสีเหลือง ตัวโบสถ์ใหม่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เมตร ความสูง 20.5 เมตร และจุคนได้กว่า 1,000 คน จึงทำให้เป็นการรวมกันระหว่างความเป็นสมัยใหม่และสมัยเก่าได้อย่างลงตัว
มหาวิหารเบอร์ลิน (Berlin Cathedral) เป็นมหาวิหารนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน โดยถูกสร้างในระหว่างปี 1894-1905 ในรูปแบบสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองส์ มหาวิหารแห่งเบอร์ลินเป็นสถานที่ใช้ทำพิธีสำคัญต่างๆ เช่นการเจิมน้ำมนต์ เข้าพิธีอภิเษกสมรส และใช้เป็นสถานที่ฝังศพของสมาชิกในราชวงศ์ โฮเฮ่นซอลเลิร์น ซึ่งอยู่บริเวณชั้นใต้ดินของมหาวิหารแห่งนี้ มหาวิหารแห่งเบอร์ลินได้รับความเสียหายอย่างมากจากสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะใน วันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1944 โดมของวิหารถูกระเบิดเสียหายยับเยินหลังสงครามโลกมหาวิหารแห่งนี้คงสภาพเป็นซากปรักหักพัง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1975 จึงได้รับการบูรณะอย่างเต็มที่จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1993
ศาลากลางแดง(Red City Hall) เป็นศาลากลางของกรุงเบอร์ลิน และ เป็นอาคารที่ถือว่าโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอิฐแดง ถูกสร้างขึ้นระหว่าง ปีค.ศ.1861 -1869 บริเวณด้านหน้าของศาลากลางแดงนั้นมี น้ำพุเนปจูน (Neptunbrunnen) ซึ่งเป็นน้ำพุที่ประดับด้วยฉากจากตำนานเทพปกรณัม ส่วนอาคารที่ว่าการของเมือง หรือที่เราเรียกกันว่า ศาลากลางแดง (Red City Hall) นั้นเป็นศาลากลางของกรุงเบอร์ลิน เป็นอีกหนึ่งอาคารที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอิฐ
ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปเยือน วิหารนีโคไล (Nikolaikirche Berlin) เป็นวิหารที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเบอร์ลิน และถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิหารที่ได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยวิหารถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1230 และได้รับการสร้างใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1988
แห่งสุดท้ายที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนกรุงเบอร์ลิน คือ กลุ่มพิพิธภัณฑ์
# พิพิธภัณฑ์เก่า (Altes Museum) เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติของกลุ่มพิพิธภัณฑ์บนเกาะพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1823 -1830 โดยสถาปนิก คาร์ล ฟรีทลิช ชินเคล (Karl Friedrich Schinkel) อาคารมีรูปแบบตามสถาปัตยกรรมยุคนีโอคลาสสิก (กลางศตวรรษที่ 18) ประวัติศาสตร์ยกย่องให้อาคารหลังนี้เป็นผลชิ้นวิเศษในอาชีพสถาปนิกของชินเคลภายในมีจัดแสดงเกี่ยวกับคอลเลกชันแบบโบราณ
# พิพิธภัณฑ์ใหม่ (Neues Museum) ตั้งอยู่ทางทิศเหนือจากพิพิธภัณฑ์เก่า ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1843 – 1855 ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อียิปต์และคอลเลกชันก่อนประวัติศาสตร์ ที่โดดเด่นที่สุด คือ รูปปั้นครึ่งตัวของพระนางเนเฟอร์ติติ
# หอศิลปะโบราณแห่งชาติ (Alte Nationalgalerie) ถูกสร้างขึ้ในปีค.ศ.1815 ซึ่งภายในหอศิลมีการจัดแสดงเกี่ยวกับคอลเลกชันในยุคคลาสสิก , โรแมนซ์ , สมัยใหม่ และอื่นๆ
# พิพิธภัณฑ์โบเด (Bode Museum) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะเปิดในปี ค.ศ. 1904 พิพิธภัณฑ์ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก Ernst von Ihne ภายในมีการจัดแสดงเกี่ยวกับคอลเลกชันต่างๆ อาทิเช่น ประติมากรรม , ศิลปะไบเซนไทน์ และ เหรียญโบราณต่างๆ
และสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์เปร์กามอน (Pergamon Museum) 1 ใน 10 พิพิธภัณฑ์ชั้นเยี่ยมของโลก ที่มีการเก้บรวบรวมงานศิลปวัตถุโบราณล้ำค่าของโลก ภายในมีการจัดแบ่งออกเป็นโซน โดยโซนแรกที่คุณจะได้พบคือ เพอร์กามอน อัลตาร์ (Pergamon Altar) วิหารแท่นบูชาเทพเจ้าซุส ขนาดยักษ์ในยุคศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาลที่ถูกค้นพบที่เมืองเพอร์กามอน ประเทศตุรกี ซึ่งในการขุดค้นพบวิหารแห่งนี้ก็ได้มีนักโบราณคดีชาวเยอรมันร่วมอยู่ด้วย จึงได้นำชิ้นส่วนบางชิ้นกลับมาเพื่อบูรณะและประติดประต่อเสมือนดั่งประกอบ จิ๊กซอร์ และเขาใช้เวลาถึง 20 ปี ในการจัดทำให้วิหารแห่งนี้มีขนาดเท่าของจริง
นอกจากนี้ยังมีคอลเลกชันสมัยโบราณที่น่าสนใจอื่นๆอีกจำนวนมาก อาทิเช่น ประตู อิชตาร์ แห่งบาบิลอน (Ishtar Gate) , ประตูตลาดเมืองมีเลตัส (Market Gate of Miletus) และอื่นๆ
พระราชวังซ็องซูซี ( Sans souci Palace)
พระราชวังซ็องซูซี (Sans souci) ถือว่าเป็นพระราชวังที่สวยที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้เพราะถ้าใครได้เห็นแล้วเหมือนเป็นวังที่หลุดออกมาจากเทพนิยายเลย พระราชวังซ็องซูซี เคยเป็นอดีตพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ตั้งอยู่ที่เมืองพอทสดัม ในประเทศเยอรมนี สร้างโดยพระราชประสงค์ของ พระเจ้าเฟรดริค ที่ 2 ระหว่างปี ค.ศ.1745 ถึงปี ค.ศ.1747 เป็นสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค ที่สวยงามจนเป็นแบบอย่างให้สไตล์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศเยอรมัน และโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆในยุโรป
ทริปที่กรุงเบอร์ลินได้จบลงแล้ว ต่อมาเราจะออกเดินทางไปยัง มิวนิค ที่หมิวนิคจะมีอะไรที่หน้าสนใจบ้าง เราลองมาดูกัน
เมืองมิวนิค (Munich ) มีของดีเยอรมนีเยอะมาก
มิวนิค (Munich )อยู่ส่วนไหนของเยอรมนี ?? มิวนิคอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ถ้าไปมิวนิคเราควรเที่ยวที่ไหนดี มที่มิวนิคมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เราขอบอกเลยว่า คุณไม่ควรพลาด นั้นก็คือ ปราสาทนอยชวานสไตน์ ( Neuachwanstein)
ปราสาทนอยชวานสไตน์ ( Neuachwanstein) เป็นปราสาทที่ใครๆเห็นต่างต้องร้อง ว้าววว!! เพราะไม่เพียงแต่สวยงามราวกับต้องมนต์ ใครต่างก็รู้จักกับปราสาทแห่งนี้ดี เพราะถ้าใครเป็นคอการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส คงจะเห็นบ่อยมาก นั้นก็คือตรงโลโก้ของ วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ที่มีคำว่า Walt Disney Pictures และรูปปราสาทแสนสวยอยู่คู่กัน
ปราสาทนอยชวานสไตน์ ( Neuachwanstein) ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ แถบแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ถูกสร้างขึ้นด้วยรับสั่งของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 แห่งบาวาเรีย ซึ่งเป็นที่รู้จักอีกชื่อหนึ่งในนาม “แฟรี่เทล คิง” (Fairytale King) หรือ กษัตริย์แห่งเทพนิยาย ในปัจจุบัน ปราสาทนอยชวานชไตน์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเยอรมนี สามารถเรียกนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปเยี่ยมชมได้กว่า 61 ล้านคนแล้ว โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวราว 1.3 ล้านคนต่อปี และยิ่งมากถึง 6,000 คนต่อวัน ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศแจ่มใส
จตุรัสมาเรียนพลัทซ์ (Marienplatz)
ต่อมาถือว่าเป็นหัวใจของเมืองมิวนิคเลยก็ว่าได้ พูดซะขนาดนี้แล้วก็คงหนีไม่พ้น Marienplatz (มาเรียนพลัทซ์) หรือ Mary’s Square (จตุรัสมาเรีย หรือ จตุรัสแมรี่) เป็นจตุรัสที่อยู่กลางใจเมืองของนครมิวนิค ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1158 หรือ ประมาณ (850 ปีมาแล้ว) หรือตั้งแต่สมัยยุโรปสมัยกลางนั้นเอง (Middle Agesc)และถือว่าเป็น ” หัวใจหลัก ” ของเขตเมืองเก่า และ เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มชมเมืองมิวนิคเลยก็ว่าได้ ในช่วงยุคกลางที่นี่เคยเป็นตลาด แต่ปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนเป็นศูนย์กลางการจัดงานสำคัญๆทางวัฒนธรรมต่างๆ จตุรัสมาเรียนพลาตซ์ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ Mariensaule รูปปั้นพระแม่มารีทองคำบนเขาสูงศาลาว่าการเมืองใหม่ ( Neuse Rathaus ) ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ Glockenspiel หอระฆัง ที่มีตุ๊กตาออกมาเต้นระบำ ซึ่งเวลาที่ตุ๊กตาจะออกมาเต้นระบำนั้น อยู่ที่เวลา 11 โมงเช้าในหน้าหนาว และ 5 โมงเย็นในหน้าร้อน
พระราชวังนิมเฟนบูร์ก ( Nymphenburg Castle ) เพระราชวังแห่งนี้เดิมเป็นที่ประทับฤดูร้อนของพระเจ้าลุดวิกที่ 1 ซึ่งได้รับการกล่าวขานถึงการตกแต่งภายในว่าตกแต่งงดงามมาก จุดที่ไม่ควรพลาดในการเข้าชมของพระราชวังนี้คือ Gallery Beauties ของพระเจ้าลุดวิกที่ 1 ซึ่งเป็นสถานที่แสดงภาพวาดสวยงาม 36 นางในวงสังคมนิวมิค รวมถึงภาพวาดนาง โลล่า มอนเทช นักเต้นรำชาวไอริช ผู้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าลุดวิกที่ 1 ในสมัยนั้นและถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้พระองค์สละราชบัลลังก์ นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังมีสวนที่ประทับในฤดูล่าสัตว์ อะมาเลียนบูร์ก ( Amalienburg ) ถือเป็นผลงานร็อคโคโคชั้นเอกของยุโรป นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์รถม้า พิพิธภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเรียนรู้อย่างดีสำหรับเยาวชน จึงถือได้ว่าพระราชวังแห่งนี้เป็นที่น่าเยี่ยมชมซึ่งไม่ใกล้จากตัวเมืองอีกแห่งหนึ่ง
เรสซิเดนซ์ ( Residentz) ที่เราจะพาไปชม ไม่ใช่ที่พักหรือที่อยู่อาศัยนะคะ แต่เรสซิเดนซี่เราหมายถึงนั้นเป็นพระราชวัง ในนครมิวนิค เรสซิเดนซ์ ( Residentz) เป็นพระราชวังที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ มิวนิค ที่ซึ่งเป็นที่ประทับและเป็นศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนนานถึง 500 ปี ปัจจุบันห้องจำนวน 130 ห้อง ภายในพระราชวังเป็นสถานที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่ามากมายทั้งเฟอร์นิเจอร์ ภาพเขียน เครื่องเคลือบ และเครื่องเงิน ไฮไลท์ที่ควรเยี่ยมชมคือ Antiquarium หรือ ห้องโถงสไตล์เรอเนสซองส์ที่สวยงาม ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1570 เพื่อเป็นสถานที่เก็บสะสมคอลเลกชั่นของโบราณของยุค Albrecht ที่ 5 นั้นเอง
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียน (The Bavarian National Museum)
เป็นอีสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่เราขอแนะนำว่าถ้าไปเยือนมิวนิคแล้วว่าอย่าพลาด เพราะว่าพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและศิลปะ โดยพระเจ้าแมกซิมิเลียนที่ 2 จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์นี้คือ คอลเลกชั่นงานศิลป์ชั้นยอด ตั้งแต่ยุคกลางเรื่อยมาจนถึง อาร์ตนูโว จัดแสดงเต็มพื้นที่ทั้ง 3 ชั้น ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปในยุคต่าง ๆ ผ่านทางภาพเขียน เฟอร์นิเจอร์ งานหัตถกรรม เครื่องดนตรี และอาวุธในสมัยโบราณพิพิธภัณฑ์แห่งชาติบาวาเรียนตั้งอยู่ที่ Prinzregentenstenstrasse 3 เปิดวันอังคาร-วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-17.00 น. วันพฤหัสบดีเปิดเวลา 10.00-20.00 น.
ฮัมบวร์ก( Hamburg) หรือ ฮัมบูร์ก เมืองแสนสวย
ฮัมบวร์ก (Hamburg) หรือ เมืองสีเขียวของประเทศนั้นเอง ฮัมบวร์กอยู่ทางเหนือของเยอรมนี และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเยอรมนีรองมาจากเบอร์ลินเมืองแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับ2ในยุโรปถือว่าเป็นมืองที่ค่อนข้างร่ำรวยที่เดียว ถ้าพูดถึงฮัมบวร์กแล้วที่เมืองนี้มีอะไรหน้าเที่ยว มีเยอะมากไม่แพ้ 2 เมืองที่ผ่านมาเลย เพียงแต่จะมีความแตกต่างกันตรงที่อัมบวร์กนั้นจะมีกลิ่นอายของเมืองแห่งท่าเรือนั้นบวกกับโกดังเก็บสินค้าที่สร้างด้วยอิฐแดง ทำให้มีเสน่ห์ไปอีกแบบ เดียวเรามาลองดูว่าเมืองแห่งนี้จะมีที่ไหนให้ได้เที่ยวชม
เริ่มจาก ท่าเรือก่อนเลยเพราะที่เมืองแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองของแห่งท่าเรือนั้นเอง
ท่าเรือฮัมบูร์ก (Port of Hamburg) หรือที่นิยมเรียกกันว่า ประตูสู่โลก (Gateway to the World) ที่นี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่น่าใจ เพราะเราจะเห็นว่ามีเรือที่เข้ามาเทียบท่าอยู่มากมาย ทั้งลำเล็ก และ ลำใหญ่ หรือบ้างลำก็ใหญ่มากกกก
ถือว่าเป็นการได้เพลิดเพลินกับการชมเรือขนสินค้าที่มีมากมายนับร้อยลำ และเราเชื่อว่าใครที่มาเยือนท่าเรือแห่งนี้คงเก็บภาพสวยๆได้เยอะที่เดียว เพราะรอบท่าเรือมักจะมีมุมต่างๆให้เราได้ถ่ายภาพสวยๆเยอะทีเดียว
จากนั้นเราจะมาชม กับโบสถ์ที่มีขื่อเสียงของที่นี้กัน ทำไมต้องต้องไปชมโบสถ์ โบสถ์แห่งนี้มีอะไรคำถามที่ใครต้องเจอ งั้นเรามาดูว่าที่โบสถ์แห่งนี้มีอะไรให้เราได้ชม
ถ้าพูดถึงโบสถ์ล่ะก็ที่ฮัมบูร์ล่ะก็มีที่เดียวที่ถือว่ามีชื่อเสียที่สุด นั้นก็คือโบสถ์โบสถ์เซนต์ไมเคิล (St. Michaelis Church)
โบสถ์เซนต์ไมเคิล (St. Michaelis Church) โบสถ์เซนต์ไมเคิล ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของฮัมบูร์ก ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ไมเคิล หัวหน้าทูตสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมชิ้นใหญ่เป็นรูปเทพไมเคิล อยู่ในโบสถ์อีกด้วย โบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์ใหญ่ที่สุดในเมืองฮัมบูร์ก ซึ้งสามารถจุคนได้ถึง 2,500 ที่นั่ง ส่วนยอดแหลมสัมฤทธิ์ของโบสถ์นั้นมีความสูง 132 เมตร ที่นี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสนจะคุ้นตาทั้งสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของวิวเส้นขอบฟ้าฮัมบูร์ก สามารถมองเห็นได้จากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง แรกเริ่มเดิมทีโบสถ์นี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1647 ผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาหลายครั้ง และยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้เรายังสามารถเดินขึ้นไปบนยอดแหลมของโบสถ์เพื่อชื่นชมวิวท่าเรือและส่วนอื่นๆ ของเมืองที่งดงามราวกับออกมาจากโปสการ์ด หรือจะขึ้นลิฟต์ไปก็ได้ แล้วตื่นตาตื่นใจไปกับทางเดินยาวอันโอ่อ่ากลางโบสถ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของออร์แกนสามหลัง หลังใหญ่ที่สุดมีอายุกว่า 50 ปี ฟังการบรรเลงออร์แกนความยาว 15 นาทีในตอนเที่ยง และอย่าลืมมองหานักเล่นทรัมเป็ตประจำโบสถ์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลหอที่บรรเลงเดี่ยวหลายช่วงเวลาตลอดวัน ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ล้วนแต่มีความน่าสนใจกันทั้งนั้นเพราะทุกที่จะมีเรื่องราวในตัวเองทั้งนั้น รวมถึงโบสถ์แห่งนี้ก็เช่นกัน
ต่อมาเดินทางมาอีกหน่อย เพื่อมาพบกับ ราทเฮาส์ (Rathaus) หรือ ทาวน์ฮอล เวลาที่เราไปเยือนเมืองไหนก็แล้วแต่สิ่งที่เราต้องไปเยือนก่อนคือราทเฮาส์ หรือ ถ้าเปรียบเทียบก็คือ สัญลักษณ์ของเมืองนั้นแหละคะ หรือพูกภาษษบ้านๆก็เทียบได้กับที่ว่าการของจังหวัด หรือ ที่ว่าการอำเภอประมาณนั้น ทาวน์ฮอลแห่งนี้เป็นที่ทำงานของรัฐบาลเมืองฮัมบูร์ก เล่ากันว่าสร้างขึ้นเมื่อ 44 ปีให้หลัง หลังจากที่ราทเฮาส์เก่าได้ถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ หลังใหม่นี้จึงถูกสร้างขึ้นในปี 1886 เป็นศิลปะ รีโอ-เรโนซอง หลังคาที่โดดเด่นและสวยงาม แสดงถึงความโอ่อ่ามั่งคั่งของเมืองฮัมบูร์กได้อย่างดี
เมืองโคโลญจ์ (Cologne)
ถ้ามาเมืองนี้เมืองโคโลญจ์ (Cologne) แห่งนี้ ก็คงไม่พูดถึงสถาปัตยกรรมที่ทั้งยิ่งใหญ่ และ อลังการแห่งนี้ก็คงไม่ได้เพราะถือว่า สถานที่แห่งทั้ง สวยและมีประวัติที่ยาวนานกว่า 700 ปี แค่อายุก็ถือว่าแก่กว่าเราซะอีกงั้นเราลองไปดูกันว่าเป็นที่ไหน
มหาวิหารแห่งโคโลญจ์ (Koln Dom, Cologne Cathedral) มหาวิหาร หรือ โบสถ์แห่งนี้ ที่มีอายุกว่า 700 ปี และเป็นมหาวิหารที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองโคโลญจน์ ความสำคัญของวิหารแห่งนี้ คือ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิก ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยเป็นที่ประทับของ อาร์คบิชอป และจักรพรรดิโรมันด้วย ภายนอกของอาคารจะดูดำทะมึนเพราะศิลปะแบบโกธิค (Gothic) มีรายละเอียดตกแต่งด้วยปูนปั้น รูปนักบุญต่างๆ และลวดลายละเอียดงดงามทุกๆตารางนิ้ว อาคารสูงใหญ่ตระหง่าน ใกล้กับ Cologne Central Train Station (หรือที่เรียกว่า Hofbanof หรือ HBF) สามารถมองเห็นได้เด่นชัดจากด้านแม่น้ำไรน์
ภายในวิหารนั้นมีศิลปะของศาสนาคริสต์หลายชิ้น รวมถึงโลงพระศพของบุคคลสำคัญทางศาสนาด้วย ภายในนั้นเมื่อเข้าไปจะรู้สึกถึงความเย็นสบายและสงบมากๆ และที่สำคัญเข้าฟรี ต้องบอกเลยว่านาทีนี้ของฟรีล่ะพี่ชอบ
อาหารขึ้นชื่อ ของดีเยอรมนี มาแนะนำ
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองต่างๆของประเทศเยอรมนีคงอิ่มกันแล้ว งั้นเรามาดูซิว่าที่ของดีเยอรมนีเค้าขึ้นชื่ออาหารอะไรบ้าง
เริ่มต้นจากเมนูแรกที่ไม่ควรพลาดเพราะ ถ้าใครพลาดนี้ถือว่ามาไม่ถึงเลยก็ว่าได้นั้นก็คือขาหมูทอด หรือ ขาหมูเยอรมัน ภาษาอังกฤษว่า (German Pork Hocks) อาหารขึ้นชื่อที่ใครไปเยอรมันก็ต้องลิ้มลอง ขั้นตอนการทำนั้น ทำโดยการเอาขาหมูไปต้มจนสุก ผึ่งแดดให้แห้งแล้วเอาไปทอดจนเหลืองกรอบ กินกับมันฝรั่งบด มันย่าง หอมใหญ่ สัปปะรด พริกหยวก ผักกะหล่ำดอง
Würste หรือไส้กรอกของเยอรมัน เป็นที่นิยมอย่างมาก โดยทางเยอรมันตอนเหนือ เช่น เบอร์ลิน นิยมทาน Currywurst (ไส้กรอกที่มีผงกระหรี่อยู่ด้านบน) ในขณะที่ทางตอนใต้หรือบาวาเรียนิยมทาน Weisswurst หรือไส้กรอกขาว แล้วทานพร้อมกับมัสตาร์ดหวาน หรือ Süßem Senf อีกหนึ่งไส้กรอกที่นิยมในบาวาเรียคือ Wollwurst หรือไส้กรอกที่ทำจากเนื้อลูกวันและเนื้อหมู ในขณะที่เมือง Thüringen และ Nürnberg นิยม Rostbratwurst mit Sauerkraut ซึ่งคือไส้กรอกย่างกับกะหล่ำปลีดอง
Brezel อังกฤษเรียก Pretzel ขนมอบ ขึ้นชื่อมีต้นกำเนิดจากทางตอนใต้ของแคว้นบาวาเรีย มีความสดใหม่และอ่อนนุ่ม นอกจากนั้นยังขายคู่กับเนย ซึ่งทำให้กลายเป็น Butterbrez’n
เบียร์ (Berr) เป็นเครื่องดื่มที่พบได้ทั่วประเทศ ชนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เบียร์พีลส์ (Pils) จากสาธารณรัฐเช็ก ในขณะที่ชาวเยอรมันทางตอนใต้ (โดยเฉพาะในรัฐบาวาเรีย) จะนิยมชนิดลาเกอร์มากกว่า
ไวน์ร้อน (Mulled Wine) ในประเทศเยอรมนี หรือ Glühwein เป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทเดียวที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายและดื่มได้ในที่สาธารณะในประเทศเยอรมนี จึงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมในช่วงการจัดตลาดคริสต์มาส โดยทั่วไปไวน์ร้อนจะถูกแต่งรสด้วยน้ำตาลและปรุงกลิ่นด้วยอบเชย วานิลา หรือ กานพลู ตามความชอบ นอกจากนี้ยังมีบางส่วนผสมที่นำไวน์จากผลเชอร์รี่มาใช้แทนไวน์จากองุ่น แต่ไม่นิยมนัก
นอกจากการปรุงรสด้วยน้ำตาลแล้ว บางครั้งยังมีการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่น อาทิ เหล้ารัม มาผสมด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ ความเข้มข้น และสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย เนื่องจากโดยทั่วไป คนเยอรมันนิยมดื่มเครื่องดื่มนี้ในตลาดคริสต์มาส ท่ามกลางอากาศหนาวนั่นเอง ไวน์ร้อนที่ผสมรัม มีชื่อเรียกเฉพาะว่า Feuerzangen Bowle ซึ่งมีความหมายว่า การถูกตีตราด้วยเหล็กร้อน ๆ เนื่องจากเมื่อดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้เข้าไปแล้วจะรู้สึกร้อนขึ้นทันที
ต่อมาเราจะมาเรียนรู้กฏข้อห้ามต่างๆ ที่เราไม่ควรละเลย ต่อให้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเราก็ตาม ซึ่งแต่ละประเทศนั้นมีกฎต้องห้ามให้เราได้ปฏิบัติเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับประเทศเยอรมนีแห่งนี้ก็เช่นกัน
- 1. ชาวเยอรมันรักความสะอาดและความมีระเบียบมาก การทิ้งขยะในที่สาธารณะเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย และแม้จะทิ้งขยะในถังก็ต้องทิ้งให้ถูกต้อง
- 2.ความเงียบสงบเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเยอรมันให้ความสำคัญมาก เพราะฉะนั้นโปรดรักษาความสงบ การส่งเสียงเอะอะโวยวาย โดยหลักการแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย
- 3.ชาวเยอรมันขับรถเร็วแต่เคารพกฏหมายอย่างเคร่งครัดและไม่ประนีประนอม ดังนั้นถ้าต้องการขับรถเที่ยวเอง ต้องแน่ใจว่ารู้กฏจราจรจริงๆอนึ่ง ถ้าท่านขับรถผ่านไปพบอุบัติเหตุ ท่านจะต้องหยุดรถเพื่อให้ความช่วยเหลือ มิฉะนั้นท่านจะมีความผิดตามกฏหมาย ถ้าท่านขับรถไปชนหรือเฉี่ยวรถที่จอดอยู่โดยเจ้าของรถไม่ได้อยู่ในที่นั้น ท่านจะต้องคอยพบเจ้าของหรือถ้าคอยไม่ได้ต้องทิ้งที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้ให้เจ้าของรถ มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่าท่านละเมิดกฏหมายในระดับที่ร้ายแรงมาก
- 4.ในการซื้อสินค้าหรือกระทำการใดก็ตามห้ามแซงคิว ผู้ที่มาก่อนย่อมจะต้องได้รับบริการก่อน การแซงคิวหรือเบียดเสียดเป็นการผิดมารยาทที่ร้ายแรงมาก
- 5.ถ้าท่านใช้บริการของการขนส่งมวลชน โปรดระมัดระวังอย่านั่งเก้าอี้ที่มีเครื่องหมายกากบาทสีขาว เพราะที่นั่งเหล่านี้เป็นที่นั่งสำรองสำหรับผู้ที่บาดเจ็บพิการหรือผู้ชรา
- 6.ชาวเยอรมันโดยทั่วไปไม่ใช่คนยิ้มง่าย แต่เขาจะให้ความช่วยเหลือถ้าได้รับการขอร้องอย่างสุภาพ
- 7.การจราจรในเยอรมนีเป็นแบบชิดขวา ทั้งนี้รวมถึงคนเดินถนนด้วย
- 8.โปรดให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เข็นรถเด็ก เช่น หลีกทางให้ไปก่อน ช่วยเปิดประตู หรือช่วยยกรถเด็ก
- 9.การตรงต่อเวลาเป็นมารยาทพื้นฐานที่สำคัญมาก
- 10.การไปเยี่ยมเยือนชาวเยอรมันจะต้องนัดล่วงหน้าเสมอ ควรมีของขวัญเล็กๆน้อยๆ เช่น ดอกไม้สักช่อ หรือไวน์ดีๆสักขวดไปฝากเจ้าบ้าน และอย่าอยู่นานเกินไป อนึ่งถ้าไม่ได้มีการเชิญรับประทานอาหารล่วงหน้า ชาวเยอรมันจะไม่เชิญแขกให้อยู่รับประทานอาหาร
- 11.ในการทักทายกันด้วยการสัมผัสมือ ผู้ที่อายุมากกว่า หรือสตรีจะเป็นฝ่ายยื่นมือให้ก่อน
- 12.สงครามโลกทั้ง 2 ครั้งและคำว่านาซี ไม่ควรอยู่ในหัวข้อสนทนากับชาวเยอรมัน
มาถึงของฝากที่ขึ้นชื่อ ของดีเยอรมนีที่ควรซื้อกลับ
- 1.เบียร์ท้องถิ่น
- 2.ไส้กรอก
- 3.ช็อกโกแลต Ritter Sport
- 4. ขนมมาร์ซิพาน
- 5.ขนมปังขิงโฮมเมด
- 6.เยือกเบียร์
ที่นี้คุณคงได้รู้จักกับเยอรมนีกันแล้วใช่มั้ยคะ ?? หากคุณได้ลองไปเยือนดูแล้วจะรู้ว่าของดีเยอรมนีมีมากกว่า ไส้กรอก เบียร์ และรถหรูอย่างแน่นอน………. 😉 😉
คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.