10 สถานที่น่าไปที่สุดในโลก

วันนี้เราจะพาท่านไปชม 10 สถานที่น่าไปเที่ยวที่สุดในโลกประจำปี 2015 ซึ่งจัดอันดับโดยTripAdvisor ซึ่งปีนี้จะเป็นที่ไหนกันบ้างโปรดตามกันได้เลยค่ะ….

อันดับที่ 1 นครวัด ประเทศกัมพูชา (Angkor Wat)

cambodia 10สถานที่น่าไปเที่ยวที่สุดในโลกประจำปี 2015 อันดับที่1 เราขอยกให้กับ “นครวัด” ที่ประเทศกัมพูชาบ้านใกล้เรือนเคียงเรานี้เองค่ะ นครวัดเป็นมรดกโลกที่สำคัญสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระวิษณุ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชาไปเสียแล้ว จะสังเกตได้จากธงประจำชาติประเทศกัมพูชาจะมีรูปนครวัดอยู่บนผืนผ้าด้วย

อันดับ 2 มาชูปิกชู  เปรู (Machu Picchu)

machu pichu10สถานที่น่าไปเที่ยวที่สุดในโลกอันดับสองตามมาติดๆคือ Machu Picchu แปลว่า ยอดเขาผู้ชรา หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก  นครกลางฟ้าแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาแอนเดส ประเทศเปรู กินเนื้อที่ประมาณ13 ตารางกิโลเมตรของหุบเขาอุรุบัมบ้า ที่ความสูง 6,750 ฟีตจากระดับน้ำทะเล เมื่อมองจากตีนเขาจะไม่สามารถมองเห็นมาชูปิกชูได้ และนี่ก็คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มาชูปิกชูไม่ถูกค้นพบเป็นเวลานานและยังคงสภาพอันสมบูรณ์เอาไว้ได้

อันดับ 3 ทัชมาฮาล(Taj Mahal)

ทัชมาฮาล, ประเทศอินเดียอันดับ 3ขอยกให้กับ “ทัชมาฮาล” ที่ประเทศอินเดีย เป็นสุสานหินอ่อนตั้งอยู่ในเมืองอัครา ซึ่งถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่  ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก  สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโมกุลผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์  ทัชมาฮาลตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอาครา ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ หลุมศพของพระนางมุมตัซ มาฮาล ซึ่งถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมราและ เครื่องประดับจากมิตรประเทศ ได้รับคำรับรองว่าสร้างขึ้นด้วยสัดส่วนที่วิจิตรและงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร มีผู้สร้างและออกแบบร่วม 20,000 คน การก่อสร้างกินเวลานานถึง 22 ปี ทัชมาฮาลมีเนื้อที่ประมาณ 42 เอเคอร์ เป็นที่ตั้งของมัสยิด มีหออาซาน (หอสูงสำหรับร้องแจ้งเวลาทำนมาซ) และมีสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ นายช่างที่ออกแบบ ชื่อ อุสตาด ไอซา ถูกประหารชีวิตเพื่อมิให้ไปออกแบบสถาปัตยกรรมใด ๆ ที่สวยกว่าได้ ส่วนหัวของทัชมาฮาลมีลักษณะโดมที่เรียกว่าโอเนียนโดม และนี้จึงเป็นเหตุให้ทัชมาฮาลเป็นสถานที่น่าท่องเที่ยวในอันดับ 3

อันดับ 4 ชีคซาอิค สหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ (Sheikh Zayed Grand Mosque Center Abu Dhabi)

sheikh-zayed-mosqueชีคซาอิดเป็นมัสยิดที่มีขนาดใหญ่และงดงามที่สุดในประเทศและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก มีอาณาบริเวณ 22,412 ตารางเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 5 สนาม และสามารถรองรับผู้มาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้สูงถึง 41,000 คน ใช้เวลาก่อสร้างราว 10 ปี (ค.ศ. 1996 – 2007) ตามดำริของชีค ซาอิด ผู้ก่อตั้งประเทศและเจ้าผู้ครองนครอาบูดาบีซึ่งล่วงลับไปแล้ว จึงมีการตั้งชื่อมัสยิดตามผู้นำ ชีคซาอิดเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์เพื่อการประกอบพิธีการทางศาสนาของชาวมุสลิม   แนวคิดของการสร้างมัสยิดแห่งนี้คือการรวมโลกเอาไว้ในสถานที่แห่งเดียว เพราะนอกจากจะเปิดกว้างต้อนรับของผู้คนทุกเชื้อชาติศาสนาจากทั่วโลกแล้ว การออกแบบและก่อสร้างยังเป็นการรวมเอาสถาปัตยกรรมและช่างฝีมือจากทั่วโลก ทั้งอิตาลี เยอรมนี โมร็อกโก อินเดีย ตุรกี อิหร่าน จีน อังกฤษ นิวซีแลนด์ กรีซ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อีกทั้งยังมีการผสมผสานวัสดุที่หลากหลายทั้ง หินอ่อน หินสี ทองคำ อัญมณี คริสตัลและเซรามิค มัสยิดนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาว มีโดมสไตล์โมร็อกโกทั้งหมด 82 โดม มีเสาคอลัมน์ที่ทำเป็นรูปต้นปาล์มมากกว่า 1,000 ต้นทำด้วยหินอ่อนสีขาวและประดับประดาด้วยอัญมณีล้ำค่า ยอดเสาคอลัมน์ที่เป็นรูปใบไม้ทำด้วยทองคำ พื้นของลานกลางมัสยิดที่มีขนาด 18,000 ตารางเมตรก็ทำด้วยหินอ่อนและฝังด้วยลวดลายที่เป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ซึ่งทำ   ด้วยหินอ่อนสีและโมเสกล้ำค่าหลากชนิด

อันดับที่ 5 ของที่เที่ยวน่าเที่ยวที่สุดได้แก่ มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์ (Basilica of the Sagrada Familia)

มหาวิหารซากราด้า ฟามิเลียร์, ประเทศบาร์เซโลน่า
Cathedral of La Sagrada Familia. It is designed by architect Antonio Gaudi and is being build since 1882.

La Sagrada Familia โบสถ์ที่สร้างไม่เสร็จนี้เป็นสัญลักษณ์ของบาร์เซโลนา แม้จะเป็นงานชั้นยอดที่แสดงถึงอัจฉริยภาพของ อันโตนี เกาดี้ สถาปนิกผู้เลื่องชื่อ แต่ก็ยังมีการโต้เถียงกันอยู่ถึงการออกแบบที่เป็นโมเดิร์นโดยเฉพาะหอคอยที่มีเครนค้ำเด่นเห็นชัด ซึ่งทุกวันนี้มีคนแห่กันไปดูโบสถ์นี้กันล้นหลาม  ลา ซากราดา ฟามิเลีย มีความสูง 170 เมตร ตั้งอยู่บนถนน Carrer de Mallorca งานชิ้นนี้มีความแปลกตาจากงานชิ้นอื่นของเกาดี้ ตรงสีสันอันเรียบนิ่งแบบโทนสีธรรมชาติ ให้ความรู้สึกที่สงบผ่อนคลายและเยือกเย็นเ พราะความที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังคงรายละเอียดละเมียดที่ละไม ดูจากลวดลายสลักเสลาที่ด้านนอกตัวโบสถ์และภายใน แสดงให้เห็นถึงแรงศรัทธาในศาสนาอย่างท่วมท้น สมกับเป็นงานชิ้นสุดท้ายที่เขาอุทิศตนให้กับศาสนจักร ก่อนจะสิ้นลมใต้เงาของยอดโบสถ์นั่นเอง

โบสถ์นี้มีชื่อเต็มๆว่า Temple Expiatori de la Sagrada Família นั้นเป็นสถาปัตยกรรมประจำเมืองบาร์เชโลนาประเทศสเปนออกแบบโดย อันโตนิ เกาดิ (Antoni Gaugi) สถาปนิกชาวคาลาตันเป็นผลงานที่เรียกว่า โมเดิร์นนิสโม เป็นงานศิลปะเฉพาะถิ่นและเป็น อาร์ตนูโวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มหาวิหารซากราด้าฟามิเลียร์ (Sagrada Familia หรือ Sacred Family) ผลงานการออกแบบชิ้สุดท้ายและก่อสร้างอันยาวนานที่สุดของเกาดี้ เกาดี้ได้อุทิศ 16 ปีของบั้นปลายชีวิตในการฟูกฟักสร้างสรรค์มหาวิหารแห่งนี้ สร้างในปีพ.ศ. 2432 มีกำหนดก่อสร้างหอคอยทั้งหมด 18 หอคอยนับตั้งแต่ปีเริ่มสร้างจนถึงปัจจุบันสร้างเสร็จไปแล้วแค่ 8 หอคอย งานคืบหน้าไปประมาณ 50 เปอร์เซนต์ สถาปนิกผู้ออกแบบถูกรถรางทับเสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ2469 โดยศพของเขาได้ถูกฝังไว้ในซากราดาฟามิเลียด้วย ด้วยรูปแบบศิลปะแบบนีโอ โกธิค ด้วยแนวความคิดการคืนกลับสู่ธรรมชาติ ตัวอาคารนำเอารูปทรงและพื้นผิวต่างๆ จากในธรรมชาติมาใช้ วิหารใหญ่โต วิจิตร อลังการ โดยความสูงถึง 150 เมตร ตัวอาคารบรรจงประดับด้วยโมเสคจากเวเนเชี่ยน ประดับด้วยปฏิมากรรมแกะสลักจากหินหลายพันชิ้นจากศิลปินสเปน ปัจจุบันมหาวิหารแห่งนี้ก็ยังดำเนินการก่อสร้างคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ.2569 ลักษณะเด่นของ                                                               อาคารแห่งนี้จะสังเกตได้ถึงสีที่ตัดกันของหินด้านหน้าและ ด้านหลังอย่างชัดเจนและพบรูปแบบการก่อสร้างที่แตกต่างกัน ของยุคเก่า                                                           และสร้างต่อขึ้นไหม่ในปัจจุบัน

อันดับที่ 6 มหาวิหารนักบุญเปโตร อิตาลี (St. Peter’s Basilica)

มหาวิหารนักบุญเปโตร, ประเทศอิตาลี เมื่อมาเยือนประเทศอิตาลีหากใครไม่ได้มาเที่ยวชมสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ สวยงาม และสำคัญที่สุดของนครรัฐวาติกันนั้นก็คือ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter’s Basilica) หรือมหาวิหารนักบุญเปโตร(Basilica Sancti Petri) ถือว่ายังมาไม่ถึงอิตาลี เพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถมองเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม  มหาวิหารแห่งนี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน เชื่อกันว่าที่ตั้งมหาวิหารเป็นที่ฝังร่างของนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นหนึ่งใน 12 อัครทูตของพระเยซู นักบุญเปโตรเดิมเป็นบิชอปองค์แรกของแอนติออก(Anthioch) ต่อมาได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม เพราะนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของนักบุญเปโตรถูกฝังไว้ที่นี่ จึงเป็นประเพณีต่อมาว่าร่างของพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่มหาวิหารแห่งนี้

แต่เดิมนั้นมหาวิหารนักบุญเปโตรมิได้เป็นสถานที่พำนักประจำตำแหน่งของพระสันตะปาปาเช่นปัจจุบันนี้ ถึงกระนั้นก็ยังถือกันว่าเป็นโบสถ์สำคัญแห่งหนึ่ง เพราะโบสถ์ตั้งอยู่ในตัวนครรัฐวาติกันเอง และมีเนื้อที่มาก การทำพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระสันตะปาปาก็จะมาทำกันที่นี่ นอกจากนั้นก็ยังมีที่นั่งหรือบัลลังก์บิชอปปีเตอร์ (Cathedra Petri) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบัลลังก์ของนักบุญปีเตอร์เองเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปาที่นี่ ปัจจุบันนี้ไม่ได้ใช้เป็นบัลลังก์บิชอปอีกแล้ว แต่ยังเก็บไว้ใต้ฐานแท่นบูชาที่ออกแบบโดย จิแอน โลเรนโซ เบอร์นีนี (Gian Lorenzo Bernini)

มหาวิหารนักบุญเปโตรเดิมเป็นโบสถ์ในศตวรรษที่ 4 ซึ่งมีรูปทรงแบบบาซิลิกา (Basilica) พอมาถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมากเพราะพระสันตะปาปาย้ายที่พำนักไปอยู่ที่เมืองอาวีญง (Avignon) ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างปี ค.ศ. 1309 ถึงปี ค.ศ. 1377 ตัวมหาวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 บนโบสถ์แบบคอนแสตนทีน และเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1626 โดยสมเด็จพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 5 ตัดสินใจสร้างมหาที่ใหญ่กว่าเดิมครอบลงบนโบสถ์เดิม เพื่อให้มีความสะดวกสบายในการประกอบศาสนกิจ ว่ากันว่าพระองค์สั่งซื้อหินมากถึง 2,522 เล่มเกวียนจากโคลอสเซียมซึ่งในขณะนั้นอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรม มาเป็นวัสดุสำคัญในการก่อสร้าง มหาวิหารนักบุญเปโตรจึงถูกจัดให้เป็นอันดับ 6ของสถานที่น่าเที่ยวที่สุดในโลก

อันดับที่ 7 มหาวิหารแห่งมิลาน อิตาลี (Milan Cathedral Duomo)

มหาวิหารแห่งมิลาน, ประเทศอิตาลี มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองมิลาน และเป็นวิหารหินอ่อนสถาปัตยกรรมโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 500 ปี ลักษณะเด่นของวิหารที่นอกเหนือจากความวิจิตรงดงามแล้ว ยังประดับประดาไปด้วยรูปั้นนับกว่า 3000 รูป ที่สวยงามไม่แพ้กัน ลานกว้างด้านหน้าดูโอโมที่มีอนุสาวรีย์ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูเอลที่ 2 ทรงม้า คือสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ และเป็นที่พบปะของผู้คน รอบๆดูโอโมคือศูนย์รวมร้านค้าแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ มหาวิหารนี้สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ.1386 โดยบัญชาของเจ้าตระกูลวิสคอนติ แต่กว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้ เวลาถึง 500 กว่าปี ความโดดเด่นของวิหารดูโอโมแห่งนี้ยังมีที่ยอดแหลม บนหลังคาซึ่งมีประดับอยู่ถึงกว่า 135 ยอด ส่วนยอดที่สูงที่สุดเป็นรูปพระแม่มาเรียหุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ มีชื่อเรียกว่า “มาดอนนิน่า” (Madonnina) ที่สูงถึง 4 เมตร นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นนักบุญ ผู้คน และสัตว์อีกกว่า 3,000 รูป ส่วนด้านหน้าของวิหารประดับด้วยรูปปูนปั้นและรูปสลักหินอ่อนละเอียด สวยงาม ปัจจุบันมหาวิหารแห่งมิลานถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกต่างหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมความสวยงามไม่ขาดสาย

อันดับที่ 8 เกาะอัลคาทราซ สหรัฐอเมริกา (Alcatraz)

เกาะอัลคาทราซ สหรัฐอเมริกาคงมีหลายท่านที่เคยดูหนังเรื่อง The Rock ที่นำแสดงโดยนักแสดงมากด้วยฝีมือ นิโคลัส เคจ และ ฌอน คอนเนอรี่ และที่เที่ยวที่ได้รับการยกย่องว่าน่าเที่ยวที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 8 ในปีนี้คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นั้นก็คือ “คุกอัลคาทราช” ซึ่งที่แหล่งนี้ใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักในหนังเรื่องนี้ด้วย

ตำนาน “คุกอัลคาทราซ” ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคุกโหดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ไม่มีใครสามารถที่จะหลบหนีออกมาได้โดยง่าย และมีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิต ณ ทัณฑสถานแห่งนี้  สำหรับเกาะอัลคาทราซ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางอ่าวซานฟรานซิสโก ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1775 (พ.ศ. 2318) โดยฆวน มานูเอล เด อยาลา อี อรันซา นักเดินเรือชื่อดังชาวสเปน และได้ตั้งชื่อเกาะอันโดดเดี่ยวแห่งนี้ว่า “ลา อิสลา เด โลส อัลกาตราเซส” ในภาษาสเปน อันหมายถึงเกาะที่เต็มไปด้วยนกทะเล เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะสามารถเข้าและออกจากเกาะแห่งนี้ได้นอกจากนกทะเลเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อชาวอังกฤษเดินทางเข้ามาในบริเวณดังกล่าวก็ได้เรียกขานเกาะอัลกาตราเซสแห่งนี้ว่า “อัลคาทราซ” ตามสำเนียงภาษาตัวเอง

ปัจจุบันนี้ เกาะอัลคาทราซเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์จากการอนุมัติโดยหน่วยงานอุทยาน แห่งชาติ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ “Golden Gate National Recreation Area” และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถไปเยี่ยมชมโดยเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือ 33 ใกล้กับ ฟิชเชอร์แมนวาร์ฟ (Fisherman’s Wharf) ในซานฟรานซิสโก นอกจากนี้เกาะแห่งนี้ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติในปี 1986

อันดับ 9 รูปปั้นพระเยชูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร, บราซิล (Corcovado Rio de Janeiro, Brazil)

รูปปั้นพระเยชูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร, บราซิลอันดับ9 ขอยกให้กับ “รูปปั้นพระเยซูคริสต์” ที่ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในนครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ประเทศบราซิล ( Brazil ) ซึ่งรูปปั้นพระเยซูคริสต์ได้รับการลงคะแนนให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในประเทศ บราซิลทั้งหมด ทั้งยังเป็นแหล่ง

ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง  รูปปั้นมีความสูงถึง 30 เมตร กว้าง 38 เมตร ( วัดจากปลายแขนซ้าย ถึงปลายแขนขวา ) มีน้ำหนัก 635 ตัน ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขากอร์โกวาดู ( Corcovado Mountain ) ในอุทยานแห่งชาติทิจูคา ( Tijuca Forest National Park ) ซึ่งตั้งในตำแหน่งที่สามารถมองเห็น มหานครรีโอเดจาเนโร ( Rio de Janeiro ) ได้ทั้งหมด  ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 710 เมตร ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินสบู่ ( Soapstone ) เนื่องจากมีความทนทานสูง และเหมาะต่อการใช้งานจึงถือเป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  การแกะสลักดำเนินการโดยช่างแกะชาวฝรั่งเศล นามว่า Paul Landowski    ออกแบบโครงสร้างนำโดยวิศวกรชื่อ Albert Caquot                                                                                                      ผู้ออกแบบสถาปัตกรรม เป็นวิศวกรชาวบราซิล ชื่อว่า Heitor da Silva Costa

ประวัติความเป็นมา มีอยู่ว่าเมื่อกลางปี 1850 เมื่อหลวงพ่อ Pedro Maria ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก เจ้าหญิง Isabel ให้ทำการก่อสร้างรูปปั้นทางศาสนาขนาดใหญ่ ปี 1921 จึงมีการเสนอ 2 โครงการการรูปปั้นขนาดยักษ์ ที่เป็นสัญญาลักษณะของเมือง โดยรูปแบบแรกเป็นรูปพระเยซูคริสต์ และมีโลกอยู่ในมือ และอีกรูปแบบเป็นรูปพระเยซูคริสต์กางแขน และรูปแบบหลังได้รับการรับเลือก ปี 1922 เริ่มทำการก่อสร้าง การก่อสร้างใช้เวลา 9 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1922 ถึง 1931 การก่อสร้างเส้นทางเดียวที่จะลำเลียงวัสดุก่อสร้าง และคนงานขึ้นสู่ยอดเขา โดยใช้รถไฟ และปัจจุบัน ก็ยังคงใช้สำหรับขนส่งนักท่องเที่ยวขึ้นสู่ยอดเขา หรืออาจใช้เส้นทางรถยนต์ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที แล้วต่อด้วยการเดินขึ้นบันไดอีก 222 ขั้น ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นบันไดเลื่อนเรียบร้อยแล้ว ปี 1931 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร เสร็จสมบูรณ์ และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1931 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างทั้งสิ้น 8,750,000 บาท ( 250,000 เหรียญสหรัฐ ) ปี 2008 รูปปั้นพระเยซูคริสต์ แห่ง นครรีโอเดจาเนโร ถูกฟ้าฝ่าเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2008 แต่รูปปั้นไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากหุ้มด้วยหินสบู่ รูปปั้นพระเยซูคริสต์จึงถูกจัดอันดับให้เป็นสถานที่น่าเที่ยวที่สุดในโลกในอันดับ9

อันดับที่ 10 สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge)

อันดับ 10เห็นจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้คงหนีไม่พ้น สะพานโกลเดนเกท ที่อ่าวซานฟรานซิสโก  “สะพานโกลเดนเกท-Golden Gate” ความหมายคือ “ประตูทอง” ที่คอยต้อนรับผู้มุ่งมาซานฟรานซิสโก สะพานแห่งนี้ทำสถิติเป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเส้นทางสู่อ่าวซานฟรานซิสโก และเชื่อมระหว่างซานฟรานฯ กับมาริน เคาท์ตี

สะพานโกลเดนเกต, สหรัฐอเมริกาสะพาน ทาสีแดงอมส้มสดตามสีสัญลักษณ์ของซานฟรานฯ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1933 สร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โจเซฟ สเตราส์ เป็นวิศวกร ฝากฝีมือบันทึกไว้บนสะพานโกลเดน เกทสีแดงอมส้มที่จะเปล่งแสงสะท้อนเมื่อยามแสงอาทิตย์ตกกระทบ ความงามทางด้านวิศวกรรมได้รับการยกย่องจากสมาคมวิศวกรพลเรือนอเมริกันให้ เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

สะพานโกลเดนเกตกลายเป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก เมื่อสร้างเสร็จใหม่ๆ สะพานกลายเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ปัจจุบันนี้เองผู้คนทั่วโลกเองก็ยังคงรู้จักสะพานโกลเดนเกตและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา และจากผลการสำรวจสถานที่ที่น่าประทับใจของสถาบันสถาปนิกอเมริกัน พบว่าอยู่ในอันดับที่ 5 ของสถานที่ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา

เป็นยังไงกันบ้างค่ะคราวนี้พอจะมีไอเดียเก๋ๆสำหรับการจัดทริปเก๋ๆ พาคนพิเศษ หรือคนในครอบครัวที่คุณรักไปเที่ยวกันหรือยังค่ะ…ไว้โอกาสหน้าจะมาบอกเล่าเก้าสิบกับทริปดีๆอีกนะคะ 🙂

คุณต้องเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น.